กรุงเทพฯ 12 ก.ค. – ดีเอสไอเตรียมเรียก 11 บริษัทชิปปิ้ง 17 บริษัทสายการเดินเรือ เข้าให้ปากคำหาผู้กระทำความผิดหมูเถื่อน 161 ตู้คอนเทนเนอร์ พบไม่ผ่านการตรวจโรค จ่อทำลายสัปดาห์หน้า ใช้งบฯ 12 ล้านบาท
จากกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่วมกับกรมศุลกากร บุกตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ค้างเกิน 30 วัน ในท่าเรือแหลมฉบัง พบหมูแช่แข็งในตู้คอนเทนเนอร์ จำนวน 161 ตู้ น้ำหนักรวมกว่า 4.5 ล้านกิโลกรัม มูลค่ากว่า 460 ล้านบาท เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา ความคืบหน้าคดีขบวนการนำเข้าสินค้าประเภทซากสัตว์ (สุกร) เข้ามาในราชอาณาจักร โดยมิชอบ จากการเปิดตู้คอนเทนเนอร์ตรวจสอบหมูเถื่อน ที่สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง คาดวันนี้ตรวจสอบแล้วเสร็จ 161 ตู้ จากการตรวจสอบพบว่า มีจำนวน 4 ตู้ ที่เครื่องทำความเย็นเสีย ทำให้เนื้อสุกรภายในตู้เน่าเสีย และได้รับการยืนยันจากกรมปศุสัตว์ว่าเป็นสินค้าที่ไม่ผ่านการตรวจโรคตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ การนำเข้ามาโดยไม่ผ่านการตรวจโรคดังกล่าว จึงเป็นการนำเข้าโดยฝ่าฝืนมาตรา 31 แห่ง พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ เข้าข่ายความผิดฐานหลีกเลี่ยงข้อจำกัดตามมาตรา 244 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร และเนื้อสุกรแช่แข็งดังกล่าว ถือเป็นของอันพึงริบตามมาตรา 166 ของกฎหมายดังกล่าวด้วย ซึ่งหากสำแดงถูกต้อง รัฐจะสามารถจัดเก็บภาษีอากรได้เป็นเงินจำนวนกว่า 460 ล้านบาท
ส่วนการขยายผลไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง พบรายชื่อ 11 บริษัทผู้นำเข้า และ 17 สายเรือที่ขนส่งเนื้อหมูดังกล่าวเข้าประเทศ ทั้งหมดเข้ามาให้ถ้อยคำเพิ่มเติม และจะตรวจสอบเพิ่มเติมว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ ส่วนข้อสงสัยถึงปริมาณเนื้อหมูที่พบในตู้คอนเทนเนอร์ที่มีไม่เต็มตู้ ว่าหลุดรอดออกไปสู่ตลาดบ้างหรือไม่ ทางดีเอสไอยืนยันไม่พบว่ามีการหลุดรอดออกไป จำนวนเนื้อหมูที่พบว่าไม่เต็มตู้นั้น เป็นการเว้นพื้นที่เพื่อไม่ให้เนื้อหมูเน่าเสียระหว่างขนส่ง
สำหรับเนื้อหมูของกลางทั้งหมด ดีเอสไอได้ประสานกรมปศุสัตว์ เพื่อนำไปทำลายด้วยการฝังกลบ ใช้งบประมาณ 12 ล้านบาท ซึ่งต้องรอกำหนดอีกครั้งหลังการประชุมร่วมกันภายในสัปดาห์หน้า. -สำนักข่าวไทย