ทลายเครือข่ายนายทุนเวียดนามอ้างชื่อแพทย์ดังหลอกขายผลิตภัณฑ์สุขภาพ

กรุงเทพฯ 3 พ.ค. – ตำรวจสอบสวนกลาง ทลายเครือข่ายแก๊งนายทุนเวียดนาม แอบอ้างชื่อแพทย์ดัง หลอกขายผลิตภัณฑ์สุขภาพ มูลค่ากว่า 60 ล้านบาท


วันที่ 3 พฤษภาคม 2566 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ., พ.ต.อ.ปัญญา กล้าประเสริฐ, พ.ต.อ.สำเริง อำพรรทอง, พ.ต.อ.ชัฏฐ นากแก้ว, พ.ต.อ.ภาคภูมิ ศรีลาภะมาศ, พ.ต.อ.ณัฐวัฒน์ เกศะรักษ์, พ.ต.อ.อนุวัฒน์ รักษ์เจริญ รอง ผบก.ปคบ., ว่าที่ พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.4 บก.ปคบ., สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดย นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และ ภก.วีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมกันแถลงข่าวกรณีทลายเครือข่ายนายทุนชาวเวียดนาม แอบอ้างบุคลากรทางการแพทย์ชื่อดังหลายราย ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา 2 ราย พร้อมตรวจยึดของกลาง จำนวน 27 รายการ มูลค่าความเสียหาย 61,354,000 บาท

พฤติการณ์กล่าวคือ เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2566 กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ได้รับแจ้งจาก พญ.ณิชา (สงวนนามสกุล) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ว่า พบเพจเฟซบุ๊ก นำชื่อ-นามสกุลของตนไปแอบอ้างทำการโฆษณาขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหลายรายการ ตามเพจเฟซบุ๊กอย่างแพร่หลาย โดยที่ตนเองไม่ได้มีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าว จึงได้มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน


เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจสอบเว็บไซต์และเพจเฟซบุ๊กดังกล่าว พบว่ามีการใช้ชื่อแพทย์ตามโรงพยาบาลชื่อดัง 3 ราย โดยมีการตัดต่อรูปภาพแพทย์ รวมถึงแอบอ้างสถานพยาบาลต่างๆ มาประกอบการโฆษณา ทั้งยังมีการจัดทำผู้ซื้อสินค้าและผู้รีวิวการใช้ปลอมขึ้น เพื่อหลอกลวงผู้บริโภคให้หลงเชื่อในตัวแพทย์ และอวดอ้างสรรพคุณของสินค้าเกินความจริงว่าสามารถรักษาอาการต่างๆ ได้ เช่น ท้าทุกอาการ ทา 5 วัน ไร้คันช่วยปกป้อง, เสริมสร้างการทำงานของตับ, ช่วยในการฟื้นตัวของร่างกาย กำจัดเชื้อโรคจากภายในร่างกายจากเม็ดเลือด และช่วยในการไหลเวียนของเลือด เป็นต้น โดยมีการขายในลักษณะ Call-Center คือ เมื่อมีผู้บริโภคทำการสั่งซื้อ โดยกรอกรายละเอียดของผู้ซื้อ พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อกลับ ผ่านเว็บไซต์ หรือกล่องข้อความทางเพจเฟซบุ๊ก จะมีการติดต่อกลับ ซึ่งเป็นข้อความในรูปแบบข้อความอัตโนมัติ เพื่อบรรยายสรรพคุณเกินจริง โน้มน้าวให้ผู้ซื้อหลงเชื่อตัดสินใจซื้อสินค้า ซึ่งหลังจากที่ผู้บริโภคได้ใช้สินค้าแล้วพบว่าไม่ได้ผลตามโฆษณา ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักจะปล่อยผ่านไป ไม่มาแจ้งความร้องทุกข์ จึงเป็นการเอาเปรียบหลอกลวงผู้บริโภคที่คาดหวังผลการรักษา ส่งผลอันตรายต่อสุขภาพ รวมถึงทำให้เสียโอกาสทางการรักษาโรคที่ถูกต้อง

เมื่อทำการตรวจสอบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ที่เว็บไซต์ดังกล่าวขาย พบว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่แสดงฉลากภาษาไทย ไม่มีการแสดงเลขสารบบอาหาร และเครื่องสำอางไม่มีการแสดงเลขจดแจ้ง จึงทำการสืบสวนจนทราบถึงสถานที่จัดเก็บผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และกลุ่มเครือข่ายผู้กระทำผิด พบว่ากลุ่มดังกล่าวมีนายทุนชาวเวียดนามมีส่วนเกี่ยวข้องในการเปิดเพจเฟซบุ๊กและเว็บไซต์ที่ใช้โฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็นจำนวนมาก รวม 27 เพจ เพื่อกระจายการโฆษณา หากถูกปิดกั้นเพจ โดยมีการโฆษณาขายสินค้าและรับออเดอร์สินค้าอยู่ที่ประเทศเวียดนาม และส่งข้อมูลการจัดส่งสินค้าให้กับพนักงานในประเทศไทย ทำการบรรจุและจัดส่ง โดยมีผู้สั่งการในประเทศไทยเป็นชาวเวียดนาม ทำหน้าที่ดูแลสั่งการอีกทางหนึ่ง

ต่อมาเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหมายศาลจังหวัดสมุทรสาคร ที่ ค.297/2566 เข้าทำการตรวจค้นสถานที่เก็บและบรรจุสินค้า ในพื้นที่ ต.ดอนไก่ดี อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร พบนายเสน่ห์ (สงวนนามสกุล) ซึ่งรับว่าตนมีหน้าที่ปิดฉลาก-บรรจุสินค้าลงบรรจุภัณฑ์ และจัดส่งให้กับลูกค้า แสดงตนเป็นพนักงานของสถานที่ดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมลดน้ำหนัก และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522, พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 และ พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 จำนวน 13 รายการ


จากนั้นได้ทำการสืบสวนขยายผล ทราบว่ามีสถานที่เก็บ บรรจุ และจัดส่งผลิตภัณฑ์ที่ผิดกฎหมายอีกแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ซอยเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย 37 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเดินทางไปตรวจสอบสถานที่ดังกล่าว พบนายชัยพร (สงวนนามสกุล) แสดงตนเป็นพนักงานของสถานที่ดังกล่าว มีหน้าที่บรรจุสินค้าลงบรรจุภัณฑ์และจัดส่งให้กับลูกค้า เป็นผู้นำตรวจค้น ตรวจยึดผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมลดน้ำหนัก และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522, พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 และ พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 จำนวน 14 รายการ

สอบถามนายชัยพร พนักงานของสถานที่ดังกล่าว แจ้งว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นของ น.ส.แก้ว หรือ MISS TIEU NY (สงวนนามสกุล) สัญชาติเวียดนาม ซึ่งทำหน้าที่ดูแลผลิตภัณฑ์ และสั่งการอยู่ที่ประเทศไทย จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจยึดผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเป็นของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

พนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ. ได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอนุมัติหมายจับ Miss TIEU NY (สงวนนามสกุล) นายจ้างชาวเวียดนาม ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ในเวลาต่อมา โดยแจ้งข้อกล่าวหา Miss TIEU NY และ น.ส.สุวิมล (สงวนนามสกุล) ในความผิดฐาน “ร่วมกันขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันขายยาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา, ร่วมกันขายเครื่องสำอางที่มีฉลากไม่ถูกต้อง, ร่วมกันขายเครื่องสำอางที่มิได้จดแจ้ง และร่วมกันจำหน่ายอาหารโดยแสดงฉลากไม่ถูกต้อง โดยไม่แสดงฉลากเป็นภาษาไทย” ตรวจยึดของกลาง จำนวน 27 รายการ มูลค่าความเสียหาย 61,354,000 บาท โดย น.ส.สุวิมล รับว่าตนเป็นเจ้าของสถานที่ ทำหน้าที่ดูแลและแพ็กสินค้าตามออเดอร์ของนายจ้างชาวเวียดนาม ชื่อ น.ส.แก้ว หรือ Miss TIEU NY โดยรับค่าจ้างเดือนละ 15,000 บาท และทำมาแล้วประมาณ 1 ปี

การกระทำของผู้ต้องหาดังกล่าวเป็นความผิดตาม

  1. พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 มาตรา 12 ฐาน “ขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท
  2. พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 มาตรา 72 (4) ฐาน “ขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา” จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับ 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  3. พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 มาตรา 6 (10) ฐาน “จำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารที่แสดงฉลากไม่ถูกต้อง” ระวางโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท
  4. พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 มาตรา 32 (4) ฐาน “ขายเครื่องสำอางที่ไม่มีฉลากภาษาไทย” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 32 (1) ฐาน “ขายเครื่องสำอางที่มิได้จดแจ้ง” ปรับไม่เกิน 20,000 บาท
  5. กรณีการนำเข้าข้อมูลเท็จและโฆษณาสินค้าดังกล่าวอาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 ฐาน “นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ” ระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และข้อหา “โฆษณาเครื่องสำอางเป็นเท็จ” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ภก.วีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ปฏิบัติการในครั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอขอบคุณตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ที่สืบสวนจนสามารถจับกุมผู้ค้า ตรวจยึดผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมายได้จำนวนมาก ผลิตภัณฑ์ที่ตรวจพบในครั้งนี้เป็นยา อาหาร และเครื่องสำอางที่ไม่ได้รับอนุญาตจาก อย. ไม่มีฉลากภาษาไทย ลักลอบนำเข้า และพบการโฆษณาหลอกลวงให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร ไม่มีหลักฐาน หรือผลการทดสอบประสิทธิภาพทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุน จึงขอเตือนผู้บริโภคว่า ไม่มีอาหารหรือเครื่องสำอางที่มีสรรพคุณรักษาโรคได้ ขอให้ผู้บริโภคระมัดระวังและไตร่ตรองให้รอบคอบ อย่าหลงเชื่อข้อมูลเท็จ โฆษณาเกินจริง ทั้งนี้ ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ได้รับอนุญาตจาก อย. ได้ที่ www.fda.moph.go.th และ Line@FDAThai หากพบผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัยหรือไม่ได้รับอนุญาต สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Email: 1556@fda.moph.go.th Line@FDAThai, Facebook: FDAThai หรือตู้ ปณ.1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ

พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ. ฝากความห่วงใยมายังพี่น้องประชาชนว่า ขอให้ระมัดระวังและไตร่ตรองให้รอบคอบ อย่าหลงซื้อผลิตภัณฑ์ผ่านสื่อออนไลน์ที่โฆษณาหลอกลวงเกินจริง เช่น ลดน้ำหนักภายใน 7 วัน, รักษาเบาหวาน, รักษาเชื้อรา, รักษาหลอดเลือด, รักษาต่อมลูกหมาก, อายุยืน, ทำความสะอาดหลอดเลือด, ถ่ายพยาธิ, เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ, เรียกความจำคืน, เพิ่มขนาดหน้าอก, แก้ปัญหาการได้ยิน, ลดริ้วรอยย้อนอายุไป 30 ปี เป็นต้น และหากผู้บริโภคหลงเชื่อสั่งซื้อสินค้ามาใช้ อาจทำให้ไม่ได้ผลตามที่ต้องการ และทำให้เสียโอกาสในการรักษาที่ถูกต้องจากแพทย์เฉพาะทาง บางรายอาจส่งผลต่อสุขภาพ และขอเตือนไปยังผู้คิดจะกระทำความผิดหลอกลวงคนอื่นด้วยวิธีการเอาความเจ็บป่วย สรรพคุณการรักษา หรือชื่อเสียงของแพทย์และสถานพยาบาลต่างๆ มาหลอกลวงขายสินค้าให้กับผู้บริโภค หากพบจะดำเนินการทางกฎหมายให้ถึงที่สุด ทั้งนี้ ผู้ที่พบเห็นการกระทำความผิดกฎหมายในลักษณะอื่นใด สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน ปคบ. 1135 หรือเพจ ปคบ.เตือนภัยผู้บริโภค ได้ตลอดเวลา. – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 ยันไม่เคยสั่งกำลังพลไปเก็บศพเขมร อย่าเชื่อข่าวปลอม

5 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชา บริเวณชายแดน ขออย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เมื่อวันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อโซเชียลมีเดียได้ลงข้อความอันเป็นเท็จ ที่ทำให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิดว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชาที่อยู่บริเวณชายแดนนั้น ตนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปปฏิบัติอย่างนั้น ผู้เสียชีวิตนั้นเป็นชาวกัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางประเทศไทย “ผมไม่เคยมีคำสั่งแบบนี้ และขอยืนยันว่า ข่าวที่ออกมานั้นเป็นข่าวปลอม ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ“ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว.-313-สำนักข่าวไทย

ทหารไทยยอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง

ศรีสะเกษ 5 ส.ค. – วันนี้ยังมีการเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่พลเรือนฝั่งไทย ส่วนเมื่อคืนนี้ (4 ส.ค.) เป็นคืนแรกของการประชุม GBC ชุด ชรบ.หมู่บ้านแนวชายแดน อ.กันทรลักษ์ จึงออกตรวจตราเข้มข้น ขณะที่ทหารแนวหน้ายอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สอบถามถึงเรื่องที่กำลังเป็นประเด็น คือกลิ่นศพของทหารกัมพูชา ทหารยอมรับว่ามีกลิ่นจริง และมีศพทหารกัมพูชาถูกทิ้งไว้จริง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ หากมีหน้ากากอนามัยเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหน้ากาก N95 ส่งถึงพื้นที่บ้างแล้ว พร้อมขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ส่งกำลังใจ ทหารยังพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ วันนี้ทีมข่าวยังเกาะติดภารกิจเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือนของไทยใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จุดแรก จรวด BM-21 ถูกกัมพูชายิงตกใส่ลงทุ่งนาของชาวบ้าน พื้นที่ ต.ทุ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม วันเดียวกับที่ยิงใส่ปั๊ม ปตท.บ้านผือ โดยห่างกันราว 1 กิโลเมตร ส่วนอีกจุดเป็นการทำลายลูกจรวด PG-7 ที่ถูกยิงจากเครื่องยิงจรวด RPG ตกลงในสวนยางพาราของชาวบ้าน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ที่ถูกพบในสภาพพร้อมทำงาน จุดนี้อยู่ห่างจากชายแดนกัมพูชาเพียง […]

เปิดศักยภาพ Gripen เขี้ยวเล็บใหม่กองทัพอากาศไทย

5 ส.ค. – เปิดคุณสมบัติโดดเด่นของ “กริพเพน” เครื่องบินรบฝูงใหม่ ซึ่งกองทัพอากาศและประเทศไทยกำลังจะทำสัญญาจัดซื้อจากสวีเดน .-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ขึ้นภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท นำร้องเพลงชาติไทย

5 ส.ค.- แม่ทัพภาค 2 ตรวจเยี่ยมภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท ปกป้องอธิปไตย พร้อมร่วมร้องเพลงชาติ เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี พื้นที่ภูมะเขือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยได้ทำการเดินลาดตระเวน ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่วางกำลังฐานปฏิบัติการ ทั้งนี้ มีพระสงฆ์จำนวน 3 รูปจากวัดใกล้เคียง มารอแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อมอบวัตถุมงคลและให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมให้พรกำลังพลทุกนาย ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ จากนั้นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ภูมะเขือ โดยเน้นย้ำให้อยู่ในความไม่ประมาท ปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติ ด้วยความปลอดภัยและให้ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี จากนั้น พล.ท.บุญสิน ได้ให้กำลังพลเปลี่ยนธงชาติไทยผืนใหญ่กว่าเดิม นำร้องเพลงชาติบนยอดภูมะเขือร่วมกัน ก่อนเดินทางกลับได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคและถ่ายรูปร่วมกับกำลังพล -สำนักข่าวไทย