อสส.ประกาศจัดโครงการซุปเปอร์เน็ต ทำให้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ มีประสิทธิภาพ

22 มี.ค. – “นารี” อัยการสูงสุด ประกาศจัดโครงการซุปเปอร์เน็ต เชื่อมต่อปฏิบัติตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ อย่างมีประสิทธิภาพตามจุดประสงค์ที่เเท้จริง


น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษการจัดงาน “Stronger OAG Symposium 2023 : A New Era of Justice” ในหัวข้อ ดุลยภาพแห่งการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนกับการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายสรุปว่าในส่วนของการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน พวกเราคงจะทราบว่าเมื่อเร็วๆ นี้มีกฎหมายฉบับนี้ออกมาเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนในชั้นการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กฎหมายในส่วนนี้เป็นส่วนหนึ่งของค่านิยมระหว่างประเทศ พวกเราคงเคยได้ยินการละเมิดสิทธิมนุษยชนในชั้นจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งในปัจจุบันนี้ คดีดังๆ ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ เช่น การเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา ที่ถูกตำรวจจับกุม ภายหลังผู้ถูกจับกุมถึงแก่ความตาย คดีนี้ทำให้เกิดวิกฤติผลกระทบในกระบวนการยุติธรรมของสหรัฐอเมริกาจนนำไปสู่การประท้วง และถูกมองว่าเป็นการแบ่งแยกคนผิวสี

ส่วนในไทยจะโชคดีไม่มีความแตกต่างของเชื้อชาติ จะเห็นว่าค่านิยมของสิทธิมนุษยชนเป็นหลักการที่ได้กำหนดในนานาประเทศ พวกเราเป็นนักกฎหมายเป็นผู้ปฏิบัติคงคุ้นเคยกับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนซึ่งมีมาเป็นเวลานานมาก ซึ่งปฏิญญาสากลจะคุ้มครองบุคคลที่ถูกทำร้ายโดยวิธีการโหดร้ายและถูกย่ำยีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกของสหประชาชาติ เพราะเราไม่สามารถอยู่ได้โดยเฉพาะกฎหมายภายในของประเทศเราเองเท่านั้น ปัจจุบันไทยเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศอีก 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 คือการต่อต้านการทรมานและการลงโทษที่โหดร้ายไร้มนุษย์ธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี ฉบับที่ 2 คืออนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้สาบสูญโดยที่รัฐธรรมนูญของไทยยอมรับในหลักการของอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ ดังที่จะเห็นได้ว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญได้บัญญัติศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ย่อมได้รับความคุ้มครอง สอดคล้องกับปฏิญญาสากลและอนุสัญญาระหว่างประเทศทั้ง 2 ฉบับที่กล่าวเเละบัญญัติว่าการทรมานด้วยการลงโทษด้วยวิธีโหดร้ายเเบบไร้มนุษย์ธรรม ย่อมกระทำไม่ได้


ยกตัวอย่าง ไทยมีคดีที่เกิดขึ้นในจังหวัดนครสวรรค์ขอเรียกว่าคดีถุงดำซึ่งมีการจับกุมบุคคลแล้วถูกบังคับให้บอกที่ซ่อนยาเสพติดโดยเอาถุงดำไปครอบศีรษะหลายใบจนสุดท้ายผู้ถูกจับกลุ่มถึงแก่ความตาย ซึ่งสิ่งที่เป็นพยานหลักฐานสำคัญก็คือกล้องวงจรปิด ไปที่อยู่ภายในสถานีตำรวจ ท้ายสุดศาลลงโทษ ผู้กระทำผิดจำคุกตลอดชีวิต

คดีจอร์จ ฟลอยด์ ในต่างประเทศหรือ คดีถุงดำในไทยทำให้รัฐบาลได้ตระหนักถึงการถูกบังคับสูญหาย จึงออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 และมีผลบังคับปี 2566 อยากสื่อสารถึงผู้นำองค์กรถึงความพร้อมและไม่พร้อมของสำนักงานอัยการสูงสุดในขณะที่กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ไปแล้วขณะนี้ทั่วประเทศเรามีอัยการอยู่ 4,500 คน เจ้าหน้าที่ธุรการมี 5,800 คน พนักงานในองค์กรอัยการจะต้องมีส่วนร่วมในการปฏิบัติตามกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนี้ อย่างที่บอกว่า ความยุติธรรมจะอยู่เหนือตัวบทกฎหมาย โดยหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อัยการและศาล ล้วนแต่เป็นบุคลากรหลักที่จะส่งให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการมีกฎหมายฉบับนี้ในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน

ซึ่งในส่วนสำนักงานอัยการสูงสุด มีการดำเนินการด้านนโยบาย,ด้านการตรวจสอบการควบคุมตัวบุคคล ,การสอบสวนการดำเนินคดีความผิด,การคุ้มครองเยียวยาความเสียหายต่อผู้เสียหายและ ด้านต่างประเทศ ในด้านนโยบายผู้บริหารทั่วประเทศถึงพนักงานอัยการเป็นระดับปฏิบัติการ จะมีการตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงและรับเรื่องการตรวจสอบร้องเรียนจากการกระทำเสียหายจากการอุ้มทรมานสูญหาย


ในด้านการตรวจสอบการควบคุมบุคคลซึ่งมีความสำคัญคือจะต้องบันทึกภาพและเสียงขณะจับกุมตัวอย่างต่อเนื่องจนถึงส่งให้พนักงานสอบสวน สิ่งที่ได้ฟังจากสำนักงบประมาณว่าทางตำรวจก็มีกล้อง Body Cam ซึ่งถ้อยคำที่สำคัญในกฎหมายก็คือคำว่า “อย่างต่อเนื่อง” นั่นเเปลว่าจะต้องคลิปภาพที่บันทึกจะต้องไม่มีการตัดต่อจนส่งให้พนักงานสอบสวน และจะต้องแจ้งพนักงานอัยการทันที ตรงนี้คือบทบาทของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย ความผิด

ในส่วนของอัยการจะเป็นผู้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมตัวอย่างที่ศาสตราจารย์พิเศษ สุรเกียรติ์ เสถียรไทย กล่าวไว้ว่าเทคโนโลยีมีให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปอย่างถูกต้องเพื่อให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย เเต่กรณีนี้กฎหมายเพียงแต่บอกว่าให้อัยการรับแจ้งแต่ไม่ได้บอกว่าให้รับแจ้งโดยระบบหรือแมนนวล ซึ่งจะเห็นได้ถึงความไม่สมบูรณ์ที่กฎหมายฉบับนี้จะบรรลุถึงวัตถุประสงค์เต็มร้อย เรียกว่ากฎหมายยังมีคำถามอยู่ เช่นที่เขียนว่า พนักงานอัยการอาจรับทราบพบเห็น เหตุการณ์ซ้อมทรมานโดยอัยการจะเป็นผู้ตรวจสอบว่ามีเหตุอันควรสงสัยหรือไม่ถ้ามีอัยการจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลที่อยู่ในเขตอำนาจ เพื่อสั่งยุติการกระทำเช่นนั้นทันที เเต่ในข้อเท็จจริงอย่างในต่างจังหวัดที่อัยการกับศาลจะมีระยะทางห่างกัน ซึ่งคำว่า “ทันที” จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าเราไม่มีระบบ

ถ้าประชาชนจะได้รับความคุ้มครองตามกฏหมายจะต้องมีการเชื่อมต่อตลอดเวลา ซึ่งจะเห็นว่าในความเป็นจริงถ้อยคำในตัวบทเขียนไว้ เเต่เหตุการณ์จริงจะไปสั่งยุติทันได้อย่างไร หากต้องส่งคำร้องเป็นกระดาษ เรื่องนี้บางครั้งก็ดูง่าย แต่ต้องดูความเป็นไปได้ สิ่งที่อยากได้ไม่ใช่เพียงแค่งบประมาณ ซึ่งงบประมาณ เราก็จะได้ค่าเวร แต่ถ้าจะตรงตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายฉบับนี้ต้องบอกเลยว่าไม่แน่ใจ

สำหรับฐานความผิดของกฎหมายฉบับนี้ก็จะร้อยเรียงมาจากกฎหมายของประเทศอย่างปฏิญญาสากลซึ่งให้อำนาจพนักงานอัยการเป็นพนักงานสอบสวน เเละกฎหมายยังได้กำหนดเขตอำนาจศาลให้อยู่ในอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบฯ เรียกว่าศาลก็มีงานเพิ่มอัยการก็มีงานเพิ่ม

ในส่วนของสำนักงานอัยการสูงสุดก็ได้ถอดให้สำนักงานปราบปรามการทุจริตเป็นสำนักงานที่รับผิดชอบในคดี ที่ฝ่าฝืนผิดตามกฏหมาย พ.ร.บ.อุ้มหายฯ เเละร่างกฎหมายนี้ยังให้พนักงานอัยการเป็นผู้ฟ้องค่าเสียหายทดแทน เเละความผิดตามพ.ร.บ.อุ้มหายฯนี้ไม่ให้ถือเป็นความผิดทางการเมือง กฎหมายฉบับนี้ระบุให้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนเพื่อดำเนินคดีทางอาญาได้ แต่กฎหมายก็ให้เรามองไปข้างหน้าว่าถ้าเราได้ส่งตัวไปที่ที่มีโอกาสที่จะถูกทำให้สูญหายทางเราก็จะไม่ส่งได้

ในส่วนที่ต้องมีอัยการอยู่เวร 24 ชั่วโมง อยากเรียนให้ทราบว่าการอยู่เวร มันไม่สำคัญเท่าการเข้าถึงในทันทีซึ่งก็คือระบบเทคโนโลยี ซึ่งพอเราจัดตั้งศูนย์ก็จะต้องมีออัยการ 1 คน และเจ้าหน้าที่ธุรการอีก 1 คน ก็อยู่เวร และเรามีศูนย์ทั่วประเทศแบบนี้อีก 112 เเห่ง

“อย่างที่เราไปตรวจราชการที่จังหวัดสุรินทร์ ได้มีโอกาสไปตรวจศูนย์ป้องกันและปราบปรามการซ้อมทรมานฯ ก็พบว่างบประมาณที่ได้คือสติกเกอร์ขนาด A4 ไปแปะไว้ในลิฟต์ สิ่งที่นอกเหนือจากการบ่นครั้งนี้ก็คือการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าและให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ “ อัยการสูงสุด ระบุ

น.ส.นารี กล่าวต่อว่างบประมาณที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้รับการจัดสรรจากรัฐบาล ก็ต้องขอบคุณที่รัฐบาลเห็นความสำคัญ แต่งบประมาณกลับไปทุ่มอยู่กับเข้าอยู่เวรโดยที่ไม่ได้ดูถึงอุปกรณ์ กล่าวตรงนี้ยังรู้สึกอิจฉา ผบ.ตร.ที่มีกล้อง Body Cam ซึ่งเคยถามไปยังสำนักงบประมาณถึง 3 หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ว่าจะได้รับคำตอบถึงเรื่องนี้หรือไม่ ความสำเร็จของกฎหมายฉบับนี้ที่จะเป็นไปตามวัตถุประสงค์ขึ้นอยู่กับหน่วยงานที่เป็นแกนของกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อตำรวจอัยการหรือศาลแต่กฎหมายฉบับนี้ออกมาเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน

ในปีงบประมาณปีหน้าโครงการซุปเปอร์เน็ตของสำนักงานอัยการสูงสุด เพิ่งได้รับแจ้งจากสำนักงบประมาณว่า สำนักอัยการสูงสุด ได้รับงบประมาณ 300 กว่าล้าน ซึ่งการปฏิบัติตามกฎหมายว่าเราบอก พ.ร.บ.อุ้มหายฯ นี้ ก็ขึ้นอยู่กับระบบอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวเพื่อจะสอดคล้องกับระบบของตำรวจและศาล

“กฎหมายฉบับนี้จะบรรลุวัตถุประสงค์คือประชาชนได้รับความคุ้มครองทางด้านสิทธิเสรีภาพเกิดจากการจับมือกันระหว่างตำรวจ อัยการและศาล รับรู้ร่วมมือช่วยเหลือกัน จับมือของ 3 องค์กรนี้จะนำไปสู่ความยุติธรรมที่ดีขึ้นกฎหมายมีอยู่แล้วแต่ความยุติธรรมที่ดีขึ้นจะสำคัญยิ่งกว่าการมีกฎหมายฉบับนี้จะสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของการมีกฎหมายคือจะต้องมีการรับรู้เชื่อมโยงข้อมูลโดยระบบไอทีงบประมาณ สำหรับ 3 หน่วยงานนี้ สำนักงบประมาณจำเป็นจะต้องดูให้สอดคล้องทิศทางการพัฒนาขององค์กรอัยการ จะต้องพัฒนาให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 15 ปี เพื่อสำนักงานอัยการไปสู่ระดับสากล” น.ส.นารี ระบุ.- สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” รายชื่อตรงตามโผ

กทม. 19 ก.ย.-โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” นั่งนายกฯ ควบมหาดไทย พร้อมตั้ง รองนายกฯ 6 คน รมต.สำนักนายกฯ 4 คน ขณะรายชื่อตรงตามโผ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย. 68) เวลา 09.30 น. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี โดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายนพุทธศักราช 2568 แล้วนั้น บัดนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เลือกผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบต่อไปแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเก้าแต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ […]

“เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง

กรุงเทพฯ 19 ก.ย. – “เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง เชื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต หลังจากนี้จะใช้ชีวิตของตัวเองอุทิศให้ประชาชนและประเทศชาติ ชี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะออกมาเคลื่อนไหวอีกหรือไม่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวขอบคุณกระบวนการยุติธรรม และศาลด้วยที่ความเมตตากับตนเอง ที่ผ่านมาเราต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม สำหรับการตัดสินในวันนี้ทำให้รู้สึกโล่งใจ ดีใจทำให้เรารู้ว่าหลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรต่อ เพราะถือว่าเป็นคดีสุดท้าย 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต ต่อจากนี้เป็นต้นไปขอทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดชีวิตนี้จะอุทิศให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พร้อมบอกว่าเป็นคดีสุดท้ายใน 20 ปี ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้วิชาชีพของตัวเองใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองรับใช้พี่น้องประชาชน ถือว่าเป็น 20 ปี ที่คุ้มมาก พี่น้องประชาชนให้กำลังใจเราเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ร่วมมือกับเราในการแสวงหาข้อมูล เรารู้สึกว่ามีคนรักเรามาก และความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เรานำเสนอความจริง เมื่อถามว่าที่ผ่านรู้สึกอย่างไรได้มีเตรียมใจไว้หรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่า ทุกอย่างเตรียมความพร้อม ทุกอย่างไม่ต้องแอบทำใจ หากเราสู้จนถึงที่สุดแล้วอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เคยช่วยเหลือทั้งในเรื่องเอกสาร หรืออื่นๆ ส่วนเหตุผลที่ศาลพิจารณายกฟ้องในคดีนี้ คือ ศาลเห็นว่าพยานให้การไม่ตรงกันในหลายประเด็นทั้งพยานวัตถุ […]

ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบพันธมิตรบุกยึด NBT ปี51

ศาลอาญา 19 ก.ย. – วันนี้ที่ศาลอาญา รัชดา ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา หรือคดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ พธม. นำผู้ชุมนุมบุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน ในช่วงระหว่างการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนั้น ซึ่งศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในเวลา 10:00 น. โดยคดีดังกล่าวมีจำเลย 4 คน ได้แก่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นน้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. ทั้งหมดถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป อั้งยี่ซ่องโจร บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งห้าเป็นระดับหัวหน้าและผู้สั่งการให้กระทำความผิด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ได้มีจำเลยอีก 1 คน คือ นายสมเกียรติ […]

‘มาครง’ เตรียมเสนอหลักฐานยืนยัน ‘บริฌิตต์’ เป็นหญิงไม่ใช่ชาย

ปารีส 19 ก.ย. – ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส และบริฌิตต์ ภริยา เตรียมเสนอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อศาลสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าบริฌิตต์เป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชาย ทนายความของประธานาธิบดีมาครงและบริฌิตต์ บอกว่า ทั้งคู่จะยื่นเอกสารเหล่านี้ในคดีหมิ่นประมาทที่ทั้งสองได้ยื่นฟ้อง แคนแดซ โอเวนส์ อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายขวาชาวอเมริกัน ที่เผยแพร่ความเชื่อของตนผ่านทางสื่อและรายการพ็อคแคสต์ของตนเองว่าบริฌิตต์ เกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอเสียใจและไม่สบายใจอย่างมากกับข้อกล่าวหาดังกล่าว และเรื่องนี้รบกวนจิตใจของประธานาธิบดีฝรั่งเศส แม้จะไม่ได้ทำให้มาครงสมาธิหลุดจากภารกิจหน้าที่ของเขาในฐานะผู้นำประเทศ แต่มันก็เป็นเรื่องรบกวนจิตใจของคนที่ต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน ซึ่งตัวประธานาธิบดีก็ไม่มีข้อยกเว้น ในส่วนของการยื่นหลักฐานต่อศาลนั้น ทนายความของมาครงและภริยาบอกว่า ทั้งคู่พร้อมที่จะแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด รวมถึงคำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นลักษณะทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จ แม้จะเป็นกระบวนการที่บริฌิตต์จะต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่เธอก็ยินดีที่จะทำ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง สำหรับประเด็นเรื่องบริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ถูกเผยแพร่ครั้งแรกตามสื่อออนไลน์ของฝ่ายขวาและกลุ่มต่อต้านวัคซีนในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2021 ต่อมา แคนแดซ โอเวนส์ อดีตนักวิจารณ์ของเดลี่ไวร์ (Daily Wire) สำนักข่าวสายอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียหลายล้านคน ได้เผยแพร่มุมมองของตนเองหลายครั้งว่า บริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ที่มีชื่อว่า ฌอง-มิเชล ทรอกโนซ์ (Jean-Michel Trogneux) ก่อนที่จะแปลงเพศในเวลาต่อมา ถึงขั้นอ้างว่าเธอพร้อมเดิมพันชื่อเสียงในอาชีพทั้งหมดของเธอกับข้อกล่าวหานี้ ส่งผลให้มาครงและภริยายื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐฯ […]

ข่าวแนะนำ

“20 ชม.” แพทย์ รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ ผ่าตัดต่อมือเด็กสำเร็จ

เชียงใหม่ 20 ก.ย.- ทีมแพทย์ รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ ผ่าตัด 20 ชั่วโมง ต่อมือเด็กหญิงวัย 14 ปี ประสบความสำเร็จ หลังถูกฟันขาด เบื้องต้นยังต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด เหตุการณ์ ขณะนายจายอ้ายหม่อง หรือ นายหม่อง อันธพาลเมียนมาและพวก ถือมีดสปาต้า วิ่งเข้าไล่ฟันกลุ่มผู้เสียหาย จนได้รับบาดเจ็บ 3 คน หนึ่งในนั้น คือ ด.ญ.อายุ 14 ปี ซึ่งยกแขนขึ้นบัง ทำให้ถูกนายหม่องฟันจนข้อมือขาด เหตุเกิดเมื่อกลางดึกของวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา บริเวณร้านซักรีดแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ต.หนองป่าครั่ง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ต่อมาตำรวจตามจับคนก่อเหตุได้ทั้งหมด 15 ราย ล่าสุด รศ.นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิต คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ออกแถลงการณ์ ระบุได้รับผู้ป่วยเด็กหญิงอายุ 14 ปี ซึ่งถูกทำร้ายด้วยอาวุธมีดจนมือขวาขาดระดับข้อมือ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 16 […]

พิธีบวงสรวงอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.7 ประดิษฐานหน้าอาคารรัฐสภา

รัฐสภา 20 ก.ย.- รัฐสภา จัดพิธีบวงสรวงอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (องค์ใหม่) ประดิษฐานหน้าอาคาร ขนาดใหญ่กว่าพระองค์จริง 4 เท่า เมื่อเวลา 08.00 น. รัฐสภา จัดพิธีบวงสรวงอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (องค์ใหม่) เพื่อประดิษฐานบนแท่นฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ ณ บริเวณด้านหน้าอาคารรัฐสภา (ถนนสามเสน) โดยมีนายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่1 เป็นประธานในพิธี นอกจากนี้ยังมี พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สว. นายชวนหลีก หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปปัตย์ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่านพรรคเพื่อไทย น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ สส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ นายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า และประธานกรรมการ บมจ.อสมท รวมถึงข้าราชการรัฐสภา ร่วมพิธีด้วย โดยนายไชยาและพล.อ.สวัสดิ์ ถวายพวงมาลัยและโปรยดอกไม้ที่พระบาทของพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ จากนั้นปักธูปที่เครื่องบวงสรางพร้อมโปรยดอกไม้ จากนั้นนายฉัตรชัย ปิ่นเงิน หัวหน้าโหรพราหมณ์ สำนักพระราชวัง อ่านโองการจากนั้นเชิญประธานในพิธีโปรยดอกไม้ที่โต๊ะเครื่องบวงสรวง วางพานประดับพุ่มดอกไม้ และจุด ธูป เทียน […]

อุตุฯ เตือน 9 จังหวัดรับมือฝนถล่ม ระวังน้ำท่วม-น้ำป่าไหลหลาก

กทม. 20 ก.ย.- กรมอุตุฯ เตือน 9 จังหวัดรับมือฝนตกหนัก เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่งโดยเฉพาะบริเวณจังหวัดตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ เลย ชัยภูมิ นครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี และตราด ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันประเทศไทยและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง สำหรับบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง อนึ่ง พายุโซนร้อน “มิแทก” บริเวณทะเลมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันแล้ว คาดว่าจะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำและสลายตัวอย่างรวดเร็ว ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางไว้ด้วย -สำนักข่าวไทย

สึกแล้ว “ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหัวลำโพง” ปมร้องเรียนทุจริตเงินวัด-พัวพัน 3 สีกา

19 ก.ย. – สึกแล้ว “ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหัวลำโพง” และเดินทางออกจากวัดทันที หลังก่อนหน้านี้มีการร้องเรียนเกี่ยวกับทุจริตเงินวัด และพัวพัน 3 สีกา เป็นภาพเอกสารที่พระธรรมสุธี เจ้าอาวาสวัดหัวลำโพง ส่งไปยังเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร เพื่อชี้แจงกรณีของผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหัวลำโพง พร้อมแนบภาพถ่ายการลาสิกขาของผู้ช่วยเจ้าอาวาส เอกสารระบุข้อความว่า “ตามที่มีประเด็นปรากฏในสื่อออนไลน์ และสื่อต่างๆ เกี่ยวข้องกับผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหัวลำโพง ทางวัดหัวลำโพง ขอชี้แจงตามประเด็นดังต่อไปนี้ 1.กรณีพฤติกรรมชู้สาวของพระครูปริยัติวัฒนกิจ ทางวัดยังไม่พบหรือปรากฏหลักฐาน เนื่องจากเป็นเรื่องส่วนบุคคล2.กรณียักยอกงินวัดนั้น ทางวัดขอชี้แจงว่า ยังไม่พบหรือปรากฏหลักฐาน เนื่องจากหน้าที่ของพระครูปริยัติวัฒนกิจ เป็นเพียงเจ้าหน้าที่ฌาปนสถานวัดหัวลำโพง มีหน้าที่ประสานงานกับเจ้าภาพที่มาติดต่อเกี่ยวกับการจองศาลาบำเพ็ญกุศล อีกทั้งฌาปนสถานวัดหัวลำโพง ประกอบด้วยกรรมการบริหารจำนวน 5 รูป โดยมีเจ้าอาวาสเป็นประธาน และมีการทำบัญชีรายรับรายจ่ายในส่วนฌาปนสถานของวัดมาโดยตลอด 3.กรณีลาสิกขา ทางพระครูปริยัติวัฒนกิจ แจ้งความประสงค์ลาสิกขาด้วยความสมัครใจ เพื่อมิให้กระทบกระเทือนต่อภาพลักษณ์ของวัด และศรัทธาของสาธุชน โดยลาสิกขา 18 ก.ย. 2568 เวลา 19.10 น. และเดินทางออกจากวัดทันที ย้อนดูคำชี้แจง “อดีตพระครูปริยัติวัฒนกิจ”ย้อนดูคำชี้แจงจากปากของอดีตพระครูปริยัติวัฒนกิจ ก่อนหน้านี้ที่ทีมข่าวได้พูดคุยผ่านทางโทรศัพท์ สำหรับเรื่องทุจริตเงินวัด อดีตพระครูปริยัติวัฒนกิจ บอกว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ปกติหน้าที่เกี่ยวข้องกับเงินของตนเอง […]