เผยอดีตตำรวจคลั่ง ชอบอาวุธปืน-ไม่ยุ่งกับใคร

กรุงเทพฯ 7 ต.ค. – รองโฆษก บช.น. ยอมรับอดีตตำรวจคลั่ง ยิงกราดศูนย์เด็กเล็ก จ.หนองบัวลำภู เคยเป็นตำรวจในสังกัด พบประวัติชอบเก็บตัวไม่ยุ่งกับใคร ชื่นชอบอาวุธปืน ก่อนขอย้ายกลับบ้านด้วยเหตุผลไม่ชำนาญงานคอมพิวเตอร์


พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รองโฆษก บช.น. ระบุถึงกรณี ส.ต.อ.กราดยิงผู้เสียชีวิตกว่า 30 ราย ที่จังหวัดหนองบัวลำภู ว่า ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลมีความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อญาติของผู้เสียชีวิต กับเหตุการณ์ดังกล่าว ยอมรับว่าอดีตตำรวจดังกล่าวเคยอยู่สังกัดที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลจริง หลังจบจากศูนย์ฝึกอบรมภูธร ภาค 3 บรรจุเข้ารับราชการเป็นตำรวจ ที่ สน.ยานนาวา ในตำแหน่ง ผบ.หมู่ งานปราบปราม ในยศสิบตำรวจตรี ก่อนจะย้ายไปรับตำแหน่ง ผบ.หมู่ งานสืบสวน ในยศ ส.ต.ท. ที่ สน.ลุมพินี ซึ่งการเข้ารับราชการตำรวจได้การดำเนินการตรวจสอบตามขั้นตอนปกติ เช่น มีการตรวจสอบว่าเป็นบุคคลผิดต้องห้ามหรือไม่ ก่อนจะส่งตัวไปฝึก

ขณะที่ระหว่างอยู่ที่ในสังกัด บช.น.นั้น มีการพิจารณาเลื่อนขั้น 0.5 หรือ 1 ขั้น ถือว่าไม่ได้มีความโดดเด่น และไม่มีความพร้อมในการใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สุดท้ายขอย้ายกลับไปตามภูมิลำเนาที่จังหวัดหนองบัวลำภู
ส่วนนิสัยใจคอ จากการตรวจสอบตามเอกสาร พบว่าระหว่างทำงานไม่สามารถทำงานกับเพื่อนร่วมงานได้ตามปกติ เป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยพูดคุยกับใคร เป็นคนชอบเล่นอาวุธปืน


ส่วนประเด็นที่มีการพูดกันว่าเจ้าตัวมีปัญหาเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาตั้งสมัยมัธยม ทางกองบัญชาการตำรวยนครบาลไม่เคยพบประวัติในส่วนนี้ แต่ยอมรับว่าช่วงย้ายไปรับตำแหน่ง ผบ.หมู่ด้านงานสืบสวน สน. ลุมพินีอาจเป็นจุดเปลี่ยน ทำให้เจ้าตัวกลับไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เพราะงานมีความใกล้ชิดต้องสัมผัสหรือเกี่ยวข้องกับยาเสพติด

รองโฆษก บช.น. กล่าวว่า ขณะนี้ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ดูแลงานสืบสวน ได้สั่งการให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าวแล้ว โดยให้ทุกคนที่ทำงานเกี่ยวกับงานสืบสวน ตรวจสอบตำรวจฝ่ายสืบสวนที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล ยังได้มีการกำชับให้ทุกกองบังคับการตรวจสอบตำรวจในสังกัดของตนเองที่มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือพฤติกรรมที่เข้าข่ายเป็นกลุ่มเสี่ยง หากพบให้ดำเนินการลงโทษตามวินัยทันที

รองโฆษก บช.น.ระบุอีกว่ากรณีการกราดยิงดังกล่าวทาง บช.น.ได้มีการฝึกการเตรียมความพร้อมให้กับข้าราชการตำรวจในสังกัด ซึ่งมีการฝึกอบรมอยู่เป็นระยะมาก่อนหน้านี้ รวมถึง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดูแลงานด้านป้องกันและปราบปราม ให้ความสำคัญกับการฝึกข้าราชการตำรวจส่วนหน้าในทุกหลักสูตรสำคัญ


สำหรับกรณีผู้เสพยาเสพติดนั้น พล.ต.อ.ดำรงค์ศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. สั่งการให้ บช.น.ดำเนินการตรวจสอบตามชุมชนนำตัวส่งบำบัดผู้เสพยาเสพติด โดยส่งไปทั้งสิ้น 1,036 ราย จากนั้นต้องทำการติดตามเป็นบุคคลเฝ้าระวังอาจกลับไปเสพยาเสพติดต่อ หรือคลุ้มคลั่งก็เป็นไปได้ ผู้กำกับการในพื้นที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ ส่วนของการปราบปรามอาวุธปืน มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรมเป็นช่วง ๆ มีการดำเนินการปี 2563 จับกุมได้ 687 ราย ปี 65 จับกุมได้ 930 ราย ซึ่งมีการจับกุมอาวุธเพิ่มมากขึ้น

ส่วนประเด็นผู้ต้องหารายนี้ออกจากความเป็นตำรวจไปแล้ว แต่ยังคงมีอาวุธปืนได้อย่างไร ในข้อเท็จจริงร้อยละ 90 ตำรวจจะทำเรื่องขอมีอาวุธปืนส่วนตัว ต้องมีการขอการรับรองจากผู้บังคับบัญชา ซึ่งกรณีดังกล่าวอยู่ระหว่างการต้องคดีหรือพ้นสภาพแล้วจะต้องยื่นรายชื่อดังกล่าวระงับห้ามใช้ ห้ามมี แต่ในกรณีนี้ยังไม่สามารถทราบได้ว่าขั้นตอนการดำเนินการเกี่ยวกับอาวุธปืนไปถึงขั้นใดหรือมีการดำเนินการอย่างไร

ทั้งนี้ ภายในสังกัดมีอดีตตำรวจต้องคดีลักษณะดังกล่าว และถูกให้ออกจากราชการแล้ว 7 ราย ในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา ต่อไปจะต้องดำเนินการตรวจสอบประวัติเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะยาเสพติดจะไม่สามารถขออาวุธส่วนตัวได้ พร้อมสั่งการให้ผู้บังคับบัญชาทุกหน่วยต้องพิจารณาในการออกใบรับรองความประพฤติให้กับลูกน้องตนเพื่อใช้ในการขออาวุธปืน โดยผู้บังคับบัญชาทุกหน่วยจะต้องพิจารณาพฤติกรรมของลูกน้องตนเองหากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงไม่ควรอนุญาตหรือออกใบรับรองเพราะถือเป็นความรับผิดชอบของผู้นำหน่วย รวมถึงทุกหน่วยภายใต้สังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาลต้องมีการสุ่มตรวจคาดการณ์ตำรวจทุกระดับชั้นเกี่ยวกับสารเสพติดซึ่ง ที่ผ่านมามีการดำเนินการสุ่มตรวจอยู่เป็นระยะแต่ต่อจากนี้จะให้การสุ่มตรวจมีความเข้มข้นมากขึ้นหากพบกลุ่มคนที่เข้าข่ายต้องสงสัยหรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงผู้นำหน่วยหรือผู้บังคับบัญชาต้องควบคุมดูแลและดำเนินการลงโทษตามวินัยตำรวจทันที.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]