เอไอเอสจับมือเกียรตินาคินภัทรให้บริการระบบยืนยันตัวตน

กรุงเทพฯ 4 ธ.ค. เอไอเอสจับมือเกียรตินาคินภัทร ให้บริการยืนยันตัวตนตามมาตรฐาน NDID เปิดบัญชีธนาคารได้โดยไม่ต้องไปสาขา นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าทั่วไป บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า บริษัทฯ ร่วมกับ บริษัท เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี จำกัด (NDID) ในฐานะหน่วยงานกลางที่สร้างแพลตฟอร์มระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล เปิดตัวบริการ “ยืนยันตัวตนบนโลก Online” เป็นรายแรกของค่ายมือถือ ที่ใช้การตรวจสอบข้อมูลด้วยเทคโนโลยีชีวมิติ (Biometric) จากข้อมูลอัตลักษณ์ทางกายภาพเพื่อพิสูจน์และยืนยันตัวตน ด้วยมาตรฐานระดับสากล รวมถึงมาตรฐานของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์(องค์การมหาชน) บริการนี้เปิดให้ลูกค้ามือถือทุกค่าย และคนไทย ที่ต้องใช้การพิสูจน์และแสดงตัวตนทางดิจิทัลในการทำธุรกรรมของทั้งภาครัฐและเอกชน  เช่น การเปิดบัญชีเงินฝาก , กองทุน  หรือประกันชีวิต ผ่านช่องทาง AIS โดยเริ่มต้นที่ AIS Smart Kiosk @ AIS Shop ทุกสาขาทั่วประเทศ และในปีหน้าจะเริ่มขยายไปที่ ร้าน Telewiz ทุกสาขาทั่วประเทศ  และ AIS Buddy สาขาที่เข้าร่วมโครงการ “ปัจจุบันบริการในภาคการเงินบนดิจิทัลได้เริ่มเป็นที่นิยมและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีอย่างยิ่งในการขยายตัวของเศรษฐกิจดิจิทัล ดังนั้นการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการแสดงตัวตนบนโลก Online หรือNational Digital ID ที่ถูกต้อง ได้มาตรฐานด้านความปลอดภัย จึงเป็นหัวใจสำคัญยิ่ง ดังนั้น เอไอเอส ในฐานะDigital Life Service Provider ซึ่งให้บริการทั้งเครือข่าย Digital Infrastructure และบริการดิจิทัล ที่ครบถ้วน โดยมีช่องทางให้คนไทยเข้าถึงได้ง่ายๆทั่วประเทศ จึงมีความพร้อมอย่างยิ่งในการเข้ามาเป็นผู้ให้บริการ “ยืนยันตัวตนบนโลก Online” หรือ Identity Provider ในฐานะค่ายมือถือรายแรก เพื่อเพิ่มโอกาส ความสะดวก ในการเข้าถึงบริการทางการเงินทุกประเภทของคนไทยทุกระดับ รวมถึงต่อยอดการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศอีกด้วย โดยยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับ บริษัท เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี จำกัด (NDID) พร้อมด้วย ธนาคารเกียรตินาคินภัทรจำกัด (มหาชน) เริ่มต้นให้บริการนี้ไปด้วยกัน ก่อนที่จะขยายความร่วมมือกับสถาบันการเงินอื่นๆอย่างต่อเนื่อง” ด้านนายบุญสันต์ ประสิทธิ์สัมฤทธิ์ ผู้จัดการใหญ่  บริษัท เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี จำกัด (NDID) กล่าวว่า “ ปัจจุบันธุรกรรมทางดิจิทัลเติบโตอย่างก้าวกระโดด ก้าวแรกของความมั่นใจในธุรกรรมดิจิทัลทั้งของผู้ทำธุรกรรม และผู้ให้บริการคือความมั่นใจว่าผู้ทำธุรกรรมดิจิทัลเป็นบุคคลนั้นจริง ๆ ซึ่ง NDID เป็นแพลตฟอร์มกลาง เพื่อการพิสูจน์และยืนยันตัวตนดิจิทัล โดยมีสมาชิกจากหลากหลายภาคส่วนร่วมให้บริการดังกล่าว โดยก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน โดย NDID ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ได้ให้เกียรติให้บริการเป็นผู้พิสูจน์และยืนยันตัวตนผ่าน AIS Kiosk ซึ่งช่วยเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงการยืนยันตัวตนทางดิจิทัลให้แก่ผู้ทำธุรกรรมดิจิทัลได้สะดวกยิ่งขึ้น และธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะของผู้ให้บริการธุรกรรมทางการเงินดิจิทัล ที่ได้พัฒนา และขยายขอบเขตการให้บริการลูกค้าผ่านการยืนยันตัวตนดิจิทัลผ่าน NDID อย่างต่อเนื่องNDID หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือระหว่าง AIS KKP และ NDID จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประชาชน และการส่งเสริมการเติบโตด้านธุรกรรมดิจิทัลของประเทศไทย นายฟิลิป เชียง ชอง แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า ธุรกิจธนาคาร ความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของธุรกรรมถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ผ่านมาระบบธนาคารจึงบังคับว่าต้องมีกระบวนการยืนยันตัวตนที่สาขาก่อนที่จะมีการเปิดบัญชีอย่างเคร่งครัด แต่ในวันนี้ นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ได้มาจับมือกับ AIS ซึ่งมีเครือข่ายให้บริการที่กว้างขวางครอบคลุม และ NDID ซึ่งมีแพลตฟอร์มสำหรับพิสูจน์และยืนยันตัวตนได้อย่างปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกของการเปิดบัญชีกับธนาคารเกียรตินาคินภัทรได้โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สาขา เพียงลูกค้านำบัตรประชาชนมาแสดงตัวตนที่ AIS Smart Kiosk ทั่วประเทศ ธนาคารจะสามารถพิสูจน์และยืนยันตัวตนลูกค้าได้ พัฒนาการเหล่านี้จะทำให้ต่อไปธุรกรรมออนไลน์เกิดขึ้นได้สะดวกรวดเร็วกว่าเดิม โดยยังคงมาตรฐานของความปลอดภัยสูงสุด นับเป็นการลดต้นทุนทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมหาศาล ซึ่งจะผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลให้เติบโตไปอีกขั้นหนึ่ง-สำนักข่าวไทย.

ดีอีเอสให้ทีโอทีเร่งช่วยผู้ประสบภัยภาคใต้

นครศรีธรรมราช 4 ธ.ค. พุทธิพงษ์ ส่งทีโอทีลงพื้นที่ช่วยชาวนครศรีธรรมราชหลังประสบอุทกภัยหนัก นายนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กบ่าวว่า จากน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะที่ จ.นครศรีธรรมราช ที่มีพื้นที่ประสบภัยเป็นวงกว้าง ประชาชนได้รับผลกระทบจำนวนมาก โดยนายพุทธิพงษ์ ได้กำชับให้หน่วยงาน ในสังกัด เร่งรองพื้นที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนเป็นการด่วนโดยนายมรกต  เธียรมนตรีรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพร้อมผู้บริหาร ลงพื้นที่จ.นครศรีธรรมราช ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจและมอบถุงยังชีพจำนวน 500 ถุงน้ำดื่มสะอาดจำนวน 3,600 ขวด  มอบให้พนักงาน ลูกจ้าง ตลอดจนประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่อ.นบพิตำจ.นครศรีธรรมราช ทั้งนี้ ได้สั่งการให้ส่วนงานที่เกี่ยวข้อง เร่งพิจารณาให้ความช่วยเหลือทั้งพนักงาน/ลูกจ้างผู้ประสบภัยตามหลักเกณฑ์ของบริษัท และให้การสนับสนุนบริการโทรคมนาคมตามที่หน่วยงานภาครัฐ และศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยร้องขออย่างเต็มที่ด้วย  พร้อมทั้งส่งกำลังใจให้พี่น้องประชาชน จังหวัดนครศรีธรรมราชและพื้นที่ภาคใต้ที่ประสบอุทกภัย ให้ผ่านพ้นสถานการณ์ภัยทางธรรมชาติครั้งนี้ไปได้โดยเร็ว-สำนักข่าวไทย.

เปิดแพลตฟอร์มท่องเที่ยวไชน่าทาวน์สร้างการมีส่วนร่วมชุมชน

กรุงเทพฯ 4 ธ.ค. เปิดแพลตฟอร์มเว็บแอพการท่องเที่ยวชุมชน walk.in.th เรียนรู้มรดกวัฒนธรรมชุมชนผ่าน นายจุฤทธิ์ กังวานภูมิ ผู้รับผิดชอบโครงการย่านน่าเดินเขตสัมพันธวงศ์ กล่าวว่า เป้าหมายของใครงการคือ การอนุรักษ์ฟื้นฟูย่านไชน่าทาวน์ เขตสัมพันธวงศ์ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนและทุกภาคสวนในพื้นที่เพื่อฟื้นฟูวิสชีวิตวัฒนธรรม สร้างคุณค่า ส่งเสริมการค้าปรับปรุงกายภาพและพัฒนาพื้นที่สาธารณะที่สร้างเสริมสุขภาพและเพื่อให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีมีชุมชนที่เข้มแข็งและสอดคล้องกับการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนโครงการดำเนินงานมาตั้งแต่พ.ศ. 2475 ภายใต้ชื่อโครงการย่านจีนถิ่นบางกอกที่ผ่านมามีการจัดกิจกรรมฟื้นฟูวัฒนธรรมในรูปแบบต่างๆตั้งแต่การสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนเผยแพร่เนื้อหาเกี่ยวกับกระบวนการฟื้นฟูและอัตลักษณ์ความเป็นไชน่าทาวน์บนสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อโซเชียลมีเดียไปจนถึงพัฒนาพื้นที่สาธารณะและปรังปรุงภูมิทัศน์ในแนวทางของเมืองสุขภาวะและในปัจจุบันได้พัฒนาประเด็นการทำงานไปสู่ปานน่าเดินในโครงการย่านน่าเดินเขตสัมพันธวงศ์เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเดินมากขึ้นในพื้นที่เพราะการเดินคือเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการฟื้นฟูยานเนื่องจากสามารถนำพาผู้คนไปสัมผัสเรียนรู้และเกิดปฏิสัมพันธ์กันในขณะเดียวกันยังช่วยสร้างเสริมสุขภาพลดการใช้พลังงานลดมลพิษจากการสัญจร “พื้นที่นี้เป็นศูนย์รวมแหล่งมรดกวัฒนธรรมไทย – จีน-และอีกหลากหลายเชื้อชาติเป็นย่านเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานมากว่า 200 ปีผู้อยู่อาศัยในปัจจุบันยังคงสำรงชีวิตตามประเพณีเดิมในอดีสบางอย่างแม้จะมีการปรับให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปบ้าง แต่แก่นของวันธรรมยังคงเดิมสองกระแสการท่องเที่ยวของ“ ไชน่าทาวน์ดีขึ้นมากตลอด 5 ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่และชาวต่างชาตินอกจากผู้มาท่องเที่ยวย่านนี้ยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลต่างๆเนื่องจากเป็นย่านค้าปลีก – ส่งและยังโด่งดังในฐานะย่านกินดื่มตลอดทั้งกลางวันและกลางคืนอีกด้วยสามปัจจุบันการเข้าถึง“ ไชน่าทาวน์เป็นไปได้ง่ายและสะดวกสบายนอกจากนี้ท่าเรือเจ้าพระยายังมีสถานีระบบขนส่งมวลชนทางรางสายสีน้ำเงินถึง 3 สถานีบนถนนเจริญกรุงตลอดเส้นทางซึ่งสามารถเดินมายังถนนเยาวราชที่อยู่ใกล้กันเพียง 200 เมตรและในอนาคตจะมีสถานีระบบขนส่งมวลชนทาต่อขยายสีม่วงและสีแดงทำให้การเดินทางมาย่านนี้เป็นเรื่องยและใช้เวลาน้อยลงอย่างมากโดยไม่ต้องกังวลถึงรถติดและที่จอดรถและสุดท้ายการผลักดันความเป็น Create Datic ในหลายพื้นที่เก่าแก่ที่กำลังค่อยๆเบ่งบานขึ้นตั้งแต่ย่านเจริญกรุงเรื่อยมาถึงไชน่าทาวน์ที่เปิดโอกาสให้ศิลปินไปจนถึงคนรุ่นใหม่หลากหลายแวดวงสามารถเข้ามาสร้างสรรค์กิจกรรมใหม่ในพื้นที่ได้หลากหลายและร่วมสมัยไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ในการสร้างสรรค์งานศิลปะไปจนถึงการเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้” จากการทำงานในพื้นที่กับผู้ใช้งานหลากหลายกลุ่มมาเป็นระยะเวลาหลายปีพบว่าคนส่วนมากไม่รู้จักไชน่าทาวน์ไม่ทราบว่าต้องเดินไปทิศทางไหนไม่ทราบชื่อของแต่ละสถานที่ไม่ทราบเรื่องราวที่มาที่ไปของเทศกาลสำคัญทางวัฒนธรรมและมักหลงทางเนื่องจากพื้นที่เต็มไปด้วยตรอกซอกซอยเกิดเป็นพฤติกรรมหลีกเลี่ยงการเดินและเลือกที่จะโดยสารรถรรับจ้างประจำทางข้ามองค์ประกอบทางวัฒนธรรมสองข้างทางเหล่านี้ไปนำมาสู่การสูญเสียโอกาสในการเติบโตของเศรษฐกิจชุมชนและโอกาสในการรับรู้ข้อมูลเรื่องราวประวัติศาสตร์และความสำคัญของสถานที่เหล่านั้นไปอย่างน่าเสียดายส่งผลให้มรดกวัฒนธรรมของย่านมีความเสี่ยงที่จะสูญหายไปหากไม่ได้รับการให้คุณค่าและดูแลอย่างเหมาะสมจึงเป็นที่มาของโครงการย่านน่าเดินเขตสัมพันธวงศ์ที่เริ่มดำเนินงานตั้งแต่ พ.ศ. 2560 มีจุดประสงค์ในการนำเสนอความน่าสนใจของชุมชนทั้ง 16 แห่งในเขตสัมพันธวงศ์ผ่านกระบวนการทำงานอย่างมีส่วนร่วมที่ชวนคนในชุมชนขบคิดว่าจะแนะนำย่านให้เพื่อนที่มาเยี่ยมรู้จักมากขึ้นได้อย่างไรในฐานะเจ้าบ้านพื้นที่ร้านอาหารหรือกิจกรรมใดที่ห้ามพลาดเมื่อมาถึงบ้านหลังนี้เพราะคนในย่านโดยเฉพาะคนดั้งเดิมในพื้นที่เป็นเสมือนนักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นคนสำคัญผลลัพธ์ของกระบวนมีส่วนร่วมดังกล่าวคือ 10 เส้นทางน่าเดินใน“ ไชน่าทาวน์” ที่เชื่อมโยงจุดตัดการสัญจรผ่านชุมชนและที่ตั้งมรดกวัฒนธรรมสำคัญของย่านมากกว่า 48 จุดจากมุมมองของเจ้าบ้านอย่างชุมชน โครงการได้จัดทำเว็บแอพพลิเคชั่นเดินไชน่าทาวน์ (walk.in.th) ขึ้นภายใต้แนวคิด“ สารานุกรมชุมชนเพราะข้อมูล(Data) คือสิ่งที่มีความสำคัญในยุคปัจจุบันผู้มีข้อมูลคือผู้กุมอำนาจและอำนาจควรอยู่ในมือของชุมชนเจ้าของพื้นที่โดยที่ชุมชนมีส่วนเป็นเจ้าของและสามารถบริหารจัดการข้อมูลได้ด้วยตนเองสามารถเพิ่มเติมข้อมูลใหม่ ๆ ของย่านรวมถึงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เพิ่งค้นพบในสารานุกรมออนไลน์ฉบับนี้ได้อย่างอิสระโดยเว็บแอพพลิเคชั่น“ เดินไชน่าทาวน์ (walk.in.th) สามารถนำมาต่อยอดการใช้งานได้หลายรูปแบบนอกจากช่วยจัดการข้อมูลด้านความรู้และประวัติศาสตร์ของชุมชนแล้วฟังก์ชันสำคัญคือการเป็นระบบพาเดินเที่ยวที่ใช้งานผ่านเว็บไซต์ที่สามารถเก็บข้อมูลของผู้ใช้งานไว้ได้เหมือนแอพพลิเคชั่นทำหน้าที่เป็นระบบนำทางช่วยเหลือด้านการเดินท่องเที่ยว (Town Guide) ที่รวบรวม10 เส้นทางน่าเดินในไชน่าทาวน์และแนะนำกิจกรรมหรือเทศกาลอื่น ๆ ในย่านแก่นักท่องเที่ยวผู้มาเยี่ยมเยือนเพื่อกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมภายในพื้นที่และเป็นเสมือนหน้าต่างประชาสัมพันธ์ที่เชื่อมเจ้าบ้านทั้ง 16 ชุมชนและผู้มาเยี่ยมเยือนเข้าหากันโดยผู้ใช้งานสามารถมอบข้อเสนอแนะเพื่อนำไปวางแผนพัฒนาปรับปรุงพื้นที่ต่อในอนาคตนอกจากนี้ผู้ใช้งานยังสามารถแชร์เส้นทางและความสนุกจากการท่องเที่ยว“ ไชน่าทาวน์ลงในโซเชียลมีเดียส่วนตัวได้เพื่อให้การสร้าง-สำนักข่าวไทย.

CATจับมือAWSเปิดไฮบริดคลาวด์เต็มรูปแบบ

กรุงเทพฯ 3 ธ.ค. CAT  จับมืออะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (AWS) เปิดบริการ  CAT Cloud powered by AWS พร้อมบริการ AWS Outposts ไฮบริดคลาวด์เต็มรูปแบบรายแรกในอาเซียน พันเอก สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT กล่าวว่าบริการใหม่ของ CAT ภายใต้ความร่วมมือกับอะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส( AWS ) เป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญยิ่งของCAT ในปี 2563 นี้ เพื่อนำบริการคลาวด์ของ CAT ไปสู่การเป็นอันดับ 1 ของไทย  โดยนำบริการคลาวด์ที่ดีที่สุดมาให้องค์กรในประเทศไทยได้ใช้และพัฒนาไปพร้อมกัน  ภายใต้แบรนด์ ‘CAT Cloud powered by AWS” ชูจุดเด่นคือบริการ AWS Outposts ที่ถูกติดตั้งจัดเก็บข้อมูลในประเทศไทยที่ Data Center ของ CAT พร้อมบริการเสริมที่ครบถ้วนจาก AWS  นำเสนอเป็นโซลูชันไฮบริดคลาวด์ตอบโจทย์ทุกองค์กร AWS Outposts ฮาร์ดแวร์แร็คออกแบบโดย AWS ที่ตั้งค่าการทำงานและบริหารจัดการได้อย่างเต็มรูปแบบ ช่วยให้ลูกค้าในประเทศไทย สามารถรันเวิร์กโหลดบน on-premise และเชื่อมต่อกับบริการที่หลากหลายของ AWS บนคลาวด์ได้อย่างไร้รอยต่อด้วยระบบโครงสร้างพื้นฐานและโมเดลการดำเนินการแบบเดียวกับที่ใช้ในปัจจุบัน มอบประสบการณ์ไฮบริดที่ต่อเนื่องอย่างแท้จริง  AWS Professional Services เป็นการผสานกำลังความแข็งแกร่งระหว่าง CAT กับ AWS ในการให้คำปรึกษา, ความช่วยเหลือ, และคำแนะนำในการออกแบบระบบ Cloud ที่ครอบคลุมทุกความหลากหลายของ Solution, เทคโนโลยี, และรองรับทุกธุรกิจ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและความคุ้มค่ากับการลงทุนที่สุดให้กับลูกค้า  AWS Managed Services (AMS) บริการบริหาร, ดูแล และจัดการระบบไอทีพื้นฐานขององค์กรแบบครบวงจร ตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละราย เพื่อให้ลูกค้าได้ทุ่มเทกับธุรกิจหลักได้อย่างเต็มที่และ AWS Direct Connect คือการเชื่อมโยงวงจรสื่อสารข้อมูลผ่านเครือข่าย Private Network ของ CAT เข้ากับ AWS Direct Connect Locations-สำนักข่าวไทย.

เปิดแพลตฟอร์มเอไอช่วยการส่งออก

กรุงเทพฯ 3 ธ.ค. ก.พาณิชย์ เปิดตัว “DITP Business AI” ปัญญาประดิษฐ์เพื่อผลักดันการส่งออก หวังเสริมศักยภาพผู้ประกอบไทย ในเวทีการค้าระหว่างประเทศ นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ (DITP) กล่าวว่า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้พัฒนาระบบปัญญประดิษฐ์ เพื่อแสวงหาโอกาสทางการค้าระหว่างประเทศ (DITP Business Al) และช่วยวิเคราะห์สถานการณ์ รวมถึแนวโน้มทางการค้าระหว่างประเทศ อีกทั้งยังสามารถคาดการณ์โอกาสและความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย เงินตราต่างประเทศทั่วโลก ข้อมูลแนวโน้มความต้องการสินค้าของผู้บริโภค เพื่อวิเคราะห์ความสอดคล้องสัมพันธ์กันโดยระบบ DITP Business Al และประเมินออกมาเป็นแนวโน้มทางการค้าระหว่างประเทศที่เป็นโอกาส หรือเป็นความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจการค้าระหว่างประเทศและสินค้าเป้าหมาย เพื่อเพิ่มศักยภาพและการส่งออกไปยังประเทศเป้าหมาย ด้านนายธนิศร์ พิริยะโภคานนท์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท แบ็คยาร์ด จำกัด กล่าวว่า ความท้าทายของการพัฒนาระบบ DITP Business AI คือการทำความเข้าใจบริบทการค้าระหว่างประเทศแทบทุกมิติ บริษัทจึงได้ใช้ความเชี่ยวชาญด้านการศึกษาภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing) เพื่อให้ระบบปัญญาประดิษฐ์สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างครอบคลุมร่วมกับข้อมูลภายในและภายนอกอื่นๆ และประมวลผลออกมาในรูปแบบที่ผู้ประกอบการหรือผู้ที่มีความสนใจสามารถเข้าใจได้ง่าย สะดวกต่อการเข้าถึง และสามารถนำไปใช้เพื่อเป็นข้อมูลประกอบในการตัดสินใจทางธุรกิจ-สำนักข่าวไทย.

ดีอีเอสกำชับปณทเร่งช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้

กรุงเทพฯ2 ธ.ค.รมว.ดิจิทัลสั่งการไปรษณีย์ไทย เร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ เข้ารับ-ส่งพัสดุถึงบ้านเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน  นายพุทธิพงษ์  ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กำชับ บริษัทไปรษณีย์ไทยให้เร่งเข้าช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติ เนื่องจากการเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบาก โดยไปรษณีย์ไทย ได้จัดหน่วยเคลื่อนที่เข้าไปรับฝากพัสดุในพื้นที่ที่น้ำท่วม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชน โดยที่ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช  เจ้าหน้าที่บุรุษไปรษณีย์ได้ขับรถและพายเรือเข้าไปรับฝากถึงที่บ้าน  รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย และขอส่งกำลังใจให้พี่น้องชาวใต้ผ่านพ้นภัยพิบัตินี้ไปได้โดยเร็ว-สำนักข่าวไทย.

หัวเว่ยจับมือรพ.ศิริราชพัฒนาบริการบน5G

กรุงเทพฯ 2 ธ.ค. หัวเว่ย เทคโนโลยี่ ลงนามบันทึกความร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลพัฒนาบริการอัจฉริยะ 5G ที่ขับเคลื่อนด้วยคลาวด์และ AI นายอาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหัวเว่ยเทคโนโลยี่ (ประเทศไทย)จำกัด และนพ. ประสิทธิ์ วัฒนาภาคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ลงนามความร่วมมือการยกระดับบริการด้วยการก้าวสู่การเป็นศูนย์การแพทย์อัจฉริยะที่จะใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการผสมผสานโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี 5G, AI, Big Data และการประมวลผลแบบ Cloud Edge ภายใต้ข้อตกลงระยะเวลา 5 ปีนี้ หัวเว่ยจะสนับสนุนด้านเทคโนโลยี 5G ให้แก่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ รวมถึงแบ่งปันความรู้ และร่วมมือกับนักวิจัยและคณาจารย์ทางการแพทย์ของศิริราชในการจัดทำโครงการ เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยทั้ง 2 ฝ่ายจะทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาโครงการที่จะเกิดขึ้นในระหว่างความร่วมมือภายใต้บันทึกข้อตกลงฉบับนี้  คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และหัวเว่ย ยังร่วมผนึกกำลังเพื่อพัฒนาอีโคซิสเต็ม 5G ต่อไป มุ่งส่งเสริมการใช้งานเทคโนโลยีและนวัตกรรมในรูปแบบของการจัดกิจกรรมสาธิตและนิทรรศการ  ทั้งยังเสาะหาความร่วมมือด้านวิชาการ ตลอดจนจัดการฝึกอบรมหรือถ่ายทอดความรู้ด้านเทคโนโลยี เพื่อศึกษานวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยี 5G, AI, Cloud  โอกาสนี้ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ยังได้รับรางวัล CommunicAsia 2020 ในสาขา “การทดสอบ 5G ที่มีนวัตกรรมสร้างสรรค์ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก” (Most Innovative 5G Trial in Asia Pacific) จากความสำเร็จในการนำโซลูชันการตรวจวิเคราะห์โควิด-19 ด้วยเทคโนโลยี 5G+Cloud+AI มาใช้ในการวินิจฉัยโรค เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความแม่นยำในการตรวจวิเคราะห์ ในช่วงการแพร่ระบาดของโรค “นับเป็นโอกาสดีที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลได้จับมือเป็นพันธมิตรกับหัวเว่ยในบันทึกข้อตกลงฉบับนี้ ซึ่งจะช่วยยกระดับมาตรฐานด้านบริการของเรา และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานให้ดีขึ้น ทั้งยังถือเป็นก้าวแรกในการพัฒนาโรงพยาบาลรัฐอัจฉริยะ 5G แห่งแรกในประเทศไทย โอกาสนี้ ผมขอขอบคุณหัวเว่ยที่ให้ความร่วมมือในการนำนวัตกรรมบนรากฐานเทคโนโลยี 5G, Cloud และ AI มาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมด้านการแพทย์ และร่วมผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลเสมอมา” นพ. ประสิทธิ์ กล่าว ด้านนายอาเบล เติ้ง กล่าวว่า ภาคการดูแลสุขภาพจะได้ประโยชน์มหาศาลจากนวัตกรรมและโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะในยุคดิจิทัล เราต้องการที่จะเดินเคียงข้างไปกับประเทศไทยเพื่อพัฒนาอีโคซิสเต็มด้านการดูแลรักษาสุขภาพที่แข็งแกร่งและเชื่อมโยงถึงกัน เพื่อให้ชุมชนที่อยู่ห่างไกลมีโอกาสเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้มากยิ่งขึ้น และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้นต่อไป-สำนักข่าวไทย.

เปิดข้อมูลบริการปี 63 LINEChatยังครองใจคนไทย

กรุงเทพฯ 2 ธ.ค. LINE เผย LINE Chat ยังครองใจคนไทยสะท้อนนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อไลฟ์สไตล์ LINE ประกาศภาพรวมการให้บริการตลอดปี 2563 ยังเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลอันดับ 1 ที่คนไทยเลือกใช้งานตลอดปี2563 ด้วยยอดผู้ใช้ประจำต่อเดือนสูงถึง 47 ล้านคน เผยบทสรุปวิวัฒนาการของแอปฯ แชท LINE ในการเป็นบริการหลักในด้านการสื่อสารตลอดปี 2563 ที่แต่ละบริการ แบะฟังก์ชั่นที่อัพเดทผ่านการคิดวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้อย่างเข้มข้น ก่อนนำเสนอออกมาตอบสนองการใช้งานได้อย่างตรงจุด สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยี มาอำนวยความสะดวก และช่วยให้การสื่อสารสะดวกรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม เป็นเสมือนผู้ช่วยคนรู้ใจของผู้ใช้ทุกคน ในช่วงวิกฤตที่ทุกคนต้องปรับวิถีการดำเนินชีวิตสู่ New Normal Lifestyle LINE ได้เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้การปรับตัวของผู้คนนั้นง่ายขึ้นไปอีก ด้วยแนวคิดในการใช้ไอเดียและนวัตกรรมทางเทคโนโลยีต่างๆ มายกระดับและตอบโจทย์ทุกวิถีชีวิตและความต้องการทั้งผู้ใช้งานส่วนบุคคลและธุรกิจให้ได้ประโยชน์เต็มที่และมีประสิทธิภาพแท้จริง ในปี 2563 เพียงปีเดียว LINE ได้พัฒนาบริการเพิ่มเติมใน LINE Chat เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คนมากมายที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ตลอดปี ไม่ว่าจะเป็น ในช่วงแรกของสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 LINE ยังคงทำหน้าที่เป็นช่องทางการสื่อสาร อัพเดทข้อมูลสถานการณ์ให้คนไทยได้เป็นอย่างดีผ่าน “โควิด-19 อินโฟ ฮับ” ในรูปแบบ Mini App ในหน้า Home และบน LINE Thailand Official Account เน้นให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลโควิด-19 ได้สะดวก ครบครัน และรวดเร็ว พร้อมเป็น “นักปฏิวัติฉีกกฎเดิม” ด้วยการเปิดประสบการณ์ใหม่ในการสื่อสารช่วงกักตัว เจาะกลุ่มเป้าหมายผู้ใช้งานโซเชียลมีเดีย ด้วยการเพิ่มฟังก์ชั่น Explore ในหน้า Timeline เพื่อเป็นหน้าแสดงผลโพสต์ต่างๆ ตามความสนใจของผู้ใช้ให้เลือกกดติดตามได้ตามใจชอบ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนกันใน LINE สร้างอิสระให้กับผู้ใช้ แต่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นส่วนตัว  และในเวลาต่อมา LINE ยังเพิ่มลูกเล่นความ “ทันสมัยไม่หลุดเทรนด์” ด้วย LINE Avatar ฟีเจอร์สร้างคาแรคเตอร์เสมือนจริงทั้งแบบนิ่งและเคลื่อนไหว ไว้สร้างสีสันในแชทและบนโลกโซเชียลไปกับความล้ำด้วยเทคโนโลยี AR  สิ่งที่ทำให้ผู้ใช้งานพูดถึง LINE Chat มากที่สุด หนีไม่พ้นบทบาท “ออฟฟิศเสมือนจริง” ด้วยข้อจำกัดในการทำงานช่วงโควิดที่ผ่านมา พฤติกรรม Work from Home ทำให้ผู้คนหันมาใช้เครื่องมือดิจิทัล ทดแทนการทำงานในสำนักงานและใช้สำหรับธุรกิจมากขึ้น ซึ่งหลายฟังก์ชันถูกพัฒนาให้โดนใจและดีกว่าเดิม อาทิ LINE Meeting ฟีเจอร์อำนวยความสะดวกในการประชุมออนไลน์ ชวนชาวออฟฟิศสร้างลิงก์ส่งให้เข้าร่วมประชุมได้ง่ายๆ พร้อมเอฟเฟกต์ ฟิลเตอร์มากมายเปลี่ยนรูปแบบการประชุมงานผ่าน LINE ให้สะดวก รวดเร็วและมีสีสันมากขึ้น หรือแม้แต่ Keep Memo ห้องแชทส่วนตัว สำหรับเก็บบันทึกข้อมูลหลายรูปแบบ โดยสามารถแชร์จากห้องแชทอื่นมาเก็บไว้ดูคนเดียวภายหลังได้อีกทั้งการปรับโฉมหน้า Home & Wallet ยิ่งอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ LINE เข้าถึงข้อมูลและบริการต่างๆ ทั้งในด้านไลฟ์สไตล์และการใช้จ่ายสะดวกและง่ายขึ้นไปกว่าเดิม อีกหนึ่งการพัฒนาเพื่อตอกย้ำความแข็งแกร่งด้านการสื่อสารของ LINE Chat ก็คือ LINE Call ทั้งการใช้งาน Voice call และ VDO call ที่มียอดการใช้งานผ่านคอมพิวเตอร์เพิ่มมากขึ้นเกิน 200% เมื่อเทียบเดือนม.ค. และ มี.ค. 2563 แต่นั่นก็ไม่ทำให้ LINE หยุดพัฒนานวัตกรรมต่อยอด เพราะช่วงกลางปีที่ผ่านมา LINE ส่งฟีเจอร์ Watch Together ให้แชร์หน้าจอหรือดูวิดีโอยูทูปพร้อมกันใน LINE Group Call ได้ และเพิ่มจำนวนคนรองรับ LINE Call ได้มากสุดถึง500 คน ทั้งฐานผู้ใช้งานจำนวนมาก ความถี่การเข้าใช้งานในอัตราสูง และการพัฒนานวัตกรรมอย่างไม่หยุดนิ่ง ตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา กล่าวได้ว่า LINE ได้กลายเป็นเหมือนปัจจัย 5 ในการใช้ชีวิตของคนไทย ด้วยการเป็นช่องทางสำคัญทำให้การใช้ชีวิตในยุค New Normal ง่ายและสะดวกขึ้น ลดช่องว่างและเชื่อมโยงคนไทยให้เข้าถึงข้อมูล บริการต่างๆ ด้วยเทคโนโลยีอยู่ตลอดเวลา ทำให้ LINE กลายเป็นแพลตฟอร์มที่เข้าใจคนไทย และพร้อมเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการดำเนินชีวิต (Life Infrastructure) ที่จะตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ของคนไทยที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไปอย่างแน่นอน และในเร็วๆ นี้ LINE จะมีการปรับปรุง UI (User Interface) โดยปรับเปลี่ยนตำแหน่งฟังก์ชั่นการใช้งานบางจุดและสีพื้นของแอปฯ ให้ผู้ใช้สะดวกและเห็นง่ายขึ้นอีกด้วย-สำนักข่าวไทย.

อินเด็กซ์ปรับกลยุทธ์ปรับตัวตลอดปีรับวิถีชีวิตใหม่

กรุงเทพฯ 2 ธ.ค.อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ ปรับกลยุทธ์ปี 2564 ปรับตัวตลอดเวลา รับมือความเปลี่ยนแปลง นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม  บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจอีเวนต์มีความอ่อนไหวมาก เมื่อเกิดเหตุการณ์ ลูกค้าจะตัดงบก่อน ซึ่งปีนี้ผู้ประกอบการไม่ได้ทำอีเวนต์ งานทั้งหมดถูกเลื่อน และยกเลิกเกือบ 100% ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงมิถุนายน โดยในเดือนกรกฎาคมเราเริ่มพลิกวงการบันเทิงด้วยการจัด Hybrid Concert ครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งปกติในช่วงไตรมาส 4 จะเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจอีเวนต์ จากเดิมที่สถานการณ์เลวร้ายอยู่แล้ว และมีความเสี่ยงในการเกิดโควิดระลอก 2 ตบท้ายด้วยการชุมนุมประท้วง ถือเป็นตัวเร่งให้ตลาดเลวร้ายขึ้นอีก เพราะมีผล  ในเชิงจิตวิทยาและด้านการตลาด รวมถึงการจัดงานบันเทิง งานแฟร์ทั้งระบบมีมูลค่าร่วม 3 แสนล้านบาท  มีคนทำงานในซัพพลายเชนมากมายมหาศาล ส่วนอีเวนท์มาร์เก็ตติ้ง มีมูลค่าราว 1.4 หมื่นล้านบาท   ปีนี้คาดสูญเม็ดเงินร้อยละ 60 และหากการชุมนุมยืดเยื้อ คาดว่าจะกระทบการจ้างงานหลักแสนจากปัจจุบันมีคนตกงานนับล้านคน  นายเกรียงไกร  กล่าวอีกว่า ช่วงโควิดบริษัทปั้นธุรกิจใหม่มากมาย ทั้ง Kill & Klean แฟรนไชส์ทำความสะอาดฆ่าเชื้อ ซึ่งมีจำนวนแฟรนไชส์ทั้งหมด 25 แฟรนไชส์ ขยายไปยัง 6 ประเทศ 28 เมือง, การประมูลสินค้าออนไลน์ “คืนปล่อยของ”,เวทีคอนเสิร์ตคืนรอยยิ้ม โดยใช้โมเดล “Friendship Economy”, ANYA MEDITEC ที่ปรับโฉมโรงแรมเป็นโรงพยาบาล ซึ่งตอนนี้เรามี Partner ทั้งหมด 5 โรงแรม ได้แก่ Peninsula Hotel Bangkok, Staybridge Suites Bangkok Thonglor, Chatrium Hotel Riverside Bangkok Royal Cliff Beach Pattaya และศิริปันนาวิลล่า รีสอร์ท เชียงใหม่ ล่าสุดเปิดตัว “House of Illumination” ศิลปะดิจิทัลทีใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ณ เซ็นทรัลแกลอรี ชั้น 8 เซ็นทรัลเวิลด์ จัดระหว่างวันที่ 28 ต.ค. 2563 –   28 ต.ค. 2565 แผนของอินเด็กซ์ฯ จากนี้ในปี 2564 จะรุกธุรกิจในส่วนของน็อนอีเวนต์ (NON-EVENT)  มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในรูปแบบของOwn Project โดยไฮไลท์ปีหน้า จะเน้นจับตลาดท่องเที่ยว การสร้างแลนด์มาร์คใหม่ๆ ในเมืองรอง อีกส่วนมุ่งเจาะธุรกิจด้าน“Healthcare” เพื่อตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรง       อีกทั้งเป็นการช่วยเหลือให้ธุรกิจอื่นๆ “ฟื้นตัว” และเติบโตไปด้วยกัน เตรียมส่งโปรเจกต์ สร้างสรรค์ Illumination  ที่สร้างความสดและใหม่ให้กับวงการทันที ด้วยพื้นฐานหลักของความคิดสร้างสรรค์ เพื่อต่อยอดงานทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ตลอดทั้งปี เริ่มจากงานแสดงไลท์เฟสติวัล Village of Illumination ที่สิงห์ปาร์ค เชียงราย  วันที่ 1 ม.ค. 2564 -14 ก.พ. 2564,  งานแสดงประติมากรรมไฟสุดยิ่งใหญ่ ครั้งแรกในภาคอีสาน วันที่ 7- 21 ก.พ. 2564 จังหวัดอุดรธานี โดยผลการดำเนินงานในปี 2563 ได้รับผลกระทบหนักจากพิษโควิด-19 มาตรการล็อกดาวน์ และการประกาศเคอร์ฟิว ส่งให้ผลประกอบการของบริษัทในปี 2563 อยู่ที่ 460 ล้านบาท  ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 69 ซึ่งมาจากสัดส่วน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ1.กลุ่มครีเอทีฟบิซซิเนส ดีเวลลอปเม้นท์ (Creative Business Development ลดลงร้อยละ  37 2. กลุ่มมาร์เก็ตติ้ง เซอร์วิส(Marketing Service) ลดลงร้อยละ78.4 และ 3. กลุ่มโอน-โปรเจค  (Own-Project) ลดลง ร้อยละ45 เมื่อเทียบกับปีที่ก่อน -สำนักข่าวไทย.

CATจับมือไทยคมเปิดNSATบริการดาวเทียมสื่อสารกลางทะเล

กรุงเทพฯ 2 ธ.ค. แคท จับมือไทยคม ตั้ง เอ็นแซท ให้บริการดิจิทัลผ่านดาวเทียมเพื่อการสื่อสารทางทะเลยกระดับอุตสาหกรรมการเดินเรือก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ นายดนันท์ สุภัทรพันธุ์ ประธานคณะกรรมการ บริษัท เนชั่น สเปซ แอนด์ เทคโนโลยี จำกัด (NSAT) กล่าวว่า NAVA by NSAT เป็นบริการแรกของ NSAT ภายใต้ความร่วมมือของ CAT และไทยคม ที่ได้รวมจุดแข็งของบริษัทแม่ทั้งสองมาผนึกรวมกัน โดย CAT มีศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม และความเชี่ยวชาญในด้านการพัฒนาดิจิทัลโซลูชัน ในขณะที่ไทยคม มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมด้านดาวเทียม จึงนำมาต่อยอดและพัฒนาขึ้นเป็นบริการ NAVA by NSAT ในรูปแบบ Maritime Digital Solutions ที่เน้นการตอบโจทย์ตามลักษณะและความต้องการของผู้ใช้งาน เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและช่วยลดต้นทุนให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการเดินเรือ ด้วยการนำเสนอโมเดลธุรกิจที่หลากหลายในราคาที่สมเหตุสมผล รวมถึงให้ความสำคัญในด้านความปลอดภัยของข้อมูลโดยมีทีมงานที่พร้อมดูแลและให้การสนับสนุนตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวัน โดยบริษัทมีความมุ่งมั่นว่า NAVA by NSAT จะเป็นบริการเรือธง ที่ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมการเดินเรือสู่การเป็น Smart Ship และสร้างประสบการณ์อันดีเยี่ยมด้านการสื่อสารทางทะเลให้แก่ผู้ใช้งานทางทะเลได้อย่างครบวงจร พันเอก สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT กล่าวว่ากลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของ CAT มุ่งเน้นการพัฒนาด้านดิจิทัลโซลูชัน เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีโดย CAT มีความเชี่ยวชาญด้านโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมภาคพื้นดิน รวมถึงมีผลิตภัณฑ์และบริการด้านการสื่อสารที่หลากหลาย ซึ่งเมื่อนำมาพัฒนาต่อยอดด้านเทคโนโลยีร่วมกับพันธมิตร จะช่วยเสริมศักยภาพการบริการให้แก่ผลิตภัณฑ์ และเป็นการขยายบริการเครือข่ายโทรคมนาคมของ CAT สู่ภาคพื้นน้ำ อย่างเช่น NAVA by NSAT ที่เป็นการต่อยอดและพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกันจนเกิดเป็น Maritime Digital Solutions  ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานมีทางเลือกในการใช้งานมากยิ่งขึ้น ทั้งบริการเสริมด้าน Voice  การเชื่อมต่อบริการคลาวด์-ดาต้าเซ็นเตอร์  และบริการระบบCCTV ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างครบวงจร สร้างมูลค่าเพิ่ม และส่งเสริมให้ผู้ใช้งานก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างเต็มศักยภาพ นายอนันต์ แก้วร่วมวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไทยคม กล่าวว่า กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของไทยคม คือ การเป็นผู้ให้บริการด้านสมาร์ทโซลูชัน และแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่ครอบคลุมทั้งทางอวกาศ อากาศ ทางบก และทางน้ำ(Space-Air-Ground-Maritime Smart Solutions) โดยมุ่งเน้นและให้ความสำคัญกับการพัฒนาบริการใหม่ๆ ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลโซลูชัน เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเดิมและขยายไปยังกลุ่มลูกค้ารายใหม่ เช่นเดียวกับบริการ NAVA by NSAT ที่ได้ผนวกเทคโนโลยีการสื่อสารผ่านดาวเทียมของไทยคมเข้ากับดิจิทัลโซลูชันที่หลากหลายของ CAT ทำให้บริการ NAVA by NSAT ถูกยกระดับขึ้นเป็นMaritime Digital Solutions ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มประสิทธิภาพของงานบริการนอกชายฝั่งทะเลได้อย่างดีที่สุด และไทยคมมุ่งหวังให้ความร่วมมือในการพัฒนาโซลูชันของทั้ง 2 องค์กรในครั้งนี้ เป็นก้าวแรกแห่งความสำเร็จในการขยายเครือข่ายด้านการสื่อสารโทรคมนาคมให้ครอบคลุมทั้งภาคพื้นดิน และพื้นน้ำ ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพด้านโทรคมนาคมของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคต่อไปในอนาคต NAVA by NSAT คือ บริการดิจิทัลผ่านดาวเทียมที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับใช้สื่อสารทางทะเล ช่วยลบข้อจำกัด   ลดช่องว่างและอุปสรรคในการติดต่อสื่อสาร เสริมประสิทธิภาพให้แก่การปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมการเดินเรือ มุ่งสร้าง Connectivity ที่ไร้รอยต่อ เพื่อเชื่อมโยงทุกคนให้สื่อสารกันได้ทุกที่ ทุกเวลา   บริษัท เนชั่น สเปซ แอนด์ เทคโนโลยี จำกัด (NSAT) บริษัทร่วมทุนภายใต้ความร่วมมือของ บริษัท กสท โทรคมนาคมจำกัด (มหาชน) หรือ CAT และ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) เปิดตัวบริการ NAVA by NSAT บริการดิจิทัลผ่านดาวเทียมเพื่อการสื่อสารทางทะเลแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการเดินเรือและอุตสาหกรรมนอกชายฝั่ง (Offshore) ในพื้นที่น่านน้ำประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค เพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน รองรับการรับ-ส่ง Data และสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัย พร้อมอำนวยความสะดวกด้านการสื่อสารเพื่อการบริหารจัดการเรือ-สำนักข่าวไทย.

ดีอีเอสเผยผลงานต้านข่าวปลอม 1 ปีจับได้ 61ราย

กรุงเทพฯ 2 ธ.ค. ดีอีเอส เผยตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม 1 ปีดำเนินคดีผู้กระทำผิดแล้ว 61 ราย นายภุชพงค์  โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า การทำงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมในการตรวจสอบและเผยแพร่ข่าวที่ถูกต้องแก่ประชาชน และได้ร่วมกับศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (PCT) (ศปอส.ตร.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตลอดระยะเวลา 1 ปีนับตั้งแต่จัดตั้งศูนย์ฯ มีการส่งเรื่องเกี่ยวกับข่าวปลอมและบิดเบือน เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของ ศปอส.ตร. ทั้งสิ้น 660 เรื่อง และมีการดำเนินคดี 26 เรื่อง รวมผู้กระทำความผิด 61 ราย แบ่งเป็น การดําเนินคดีตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ 14 เรื่อง จำนวน 21 ราย และการดําเนินคดีตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 12 เรื่อง จำนวน 40 ราย และมีจำนวนเคสที่ทำการประชาสัมพันธ์ 96 ราย รวมเคสที่ดำเนินการแล้ว 157 ราย โดยมีจำนวนเป้าหมายที่เข้าทำการตรวจค้นตามหมายศาล 53 หมาย โดย 11 เดือนที่ผ่านมา (1 ม.ค.-30 พ.ย. 63) มีการจับกุมผู้โพสต์ข่าวปลอมบนสื่อสังคมออนไลน์ไปแล้ว 20 ครั้ง จำนวน 104 ราย รวมทั้งเห็นแนวโน้มการกระทำผิดในคดีประเภทนี้เริ่มลดลง ซึ่งเป็นผลจากการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มแข็ง นายภุชพงค์ กล่าวว่า สำหรับการจัดสัมมนาสร้างการรับรู้ฯ ที่ผ่านมา 3 ครั้ง ได้รับข้อเสนอแนะที่น่าสนใจจากกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วม ได้แก่ ควรมีเนื้อหาเกี่ยวกับทางการแพทย์เพื่อเพิ่มพูนความรู้ ควรประสานงานอย่างจริงจังกับสื่อรายใหญ่ โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ ในการกระจายข่าวสารสร้างการรับรู้ในสังคมได้  ควรมีวิธีการสอนให้ผู้ปกครองทราบวิธีปิดกั้น โฆษณาในเฟซบุ๊กที่เกี่ยวข้องกับเว็บโป๊ เว็บพนัน เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนเข้าถึง ในส่วนของเครือข่ายผู้ประสานงาน ได้นำเสนอความต้องการเพื่อปรับปรุงระบบประสานงานและติดตามผลการดำเนินงานด้านข่าวปลอมโดยเฉพาะการพัฒนาฟังก์ชั่นที่สนับสนุนกระบวนการทำงานผ่านโทรศัพท์มือถือ เช่น  สามารถ Login เข้าใช้งานระบบและตอบแบบฟอร์มใช้งานผ่านทางโทรศัพท์เพื่อความสะดวก และแนะนำให้ควรมีการอัพเดตสถานะของเคส หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการตรวจสอบกับหน่วยงานเจ้าของเรื่องนั้นๆ และเผยแพร่แล้ว เป็นต้น “ปัจจุบันสื่อออนไลน์มีบทบาทต่อผู้บริโภคข่าวสารอย่างมาก เนื่องจากผู้บริโภคมีช่องทางในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้จากหลายช่องทาง โดยเฉพาะสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ซึ่งมีทั้งข้อมูลที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง แม้ว่าสื่อสังคมออนไลน์จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่น่าสนใจที่ใช้สำหรับเผยแพร่ข่าวสาร อย่างไรก็ตามเราควรให้ความสำคัญและระมัดระวังอย่างมากในการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ ทั้งด้านของการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการแชร์ข้อมูล” นายภุชพงค์กล่าว เพื่อให้มีการใช้สื่อออนไลน์อย่างรู้เท่าทัน และสร้างสรรค์ สามารถรับข้อมูลที่ถูกต้องผู้บริโภคควรเลือกเสพข่าวจากหลายช่องทาง และอยากรณรงค์ให้ประชาชนใช้วิธีการ 12 ข้อดังต่อไปนี้ ในการตรวจสอบข่าวปลอม ได้แก่  1.อ่านข่าวทั้งหมดโดยไม่เชื่อพาดหัวข่าวเพียงอย่างเดียว 2. ตรวจสอบ URL ของเว็บไซต์ที่นำมาเผยแพร่ 3. ตรวจสอบแหล่งที่มาตัวตนของผู้เขียน 4. ดูความผิดปกติของตัวสะกดภาษาที่ใช้หรือการเรียบเรียง  5. พิจารณาภาพประกอบข่าว 6. ตรวจสอบวันที่ของการเผยแพร่ข่าว 7. ตรวจสอบแหล่งข้อมูลที่ผู้เขียนนำมาใช้ 8. หาข้อมูลเปรียบเทียบกับเว็บไซต์อื่น9. ตรวจสอบว่าข่าวสารที่ส่งต่อกันมามีวัตถุประสงค์ใด 10. พิจารณาความสมเหตุสมผลของข่าว 11. ตรวจสอบอคติของตนเอง และ 12. หากมีคำถามหรือข้อสงสัยควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ นายภุชพงค์ กล่าวว่า ในปี 2564 กระทรวงดิจิทัลฯ และศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เตรียมแผนการดำเนินการสร้างการรับรู้เท่าทันข่าวปลอมอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเติมความรู้โดยจะผลิตสื่อที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เช่น วิดีโอต่างๆ ที่สอดคล้องกับ 4 กลุ่มข่าว, สื่อไวรัลที่อยู่ในกระแสของสังคม ,พัฒนาระบบในการใช้ตรวจสอบข่าวปลอมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตามยุคสมัย และขอความร่วมมือกับสำนักข่าว -สำนักข่าวไทย.

1 3 4 5 6 7 2,829
...