กรุงเทพฯ 8 ส.ค.-ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยภาวะตลาดหุ้นไทย 7 เดือนแรก มีเงินลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อแตะ 1.13 แสนล้านบาท เดือน ก.ค.ไหลเข้า 4.6 พันล้านบาท หลังเปิดประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาการประชุม กนง.ในวันพุธนี้
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลายประเทศเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อสูง ทำให้ธนาคารกลางหลายแห่งดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัว โดยประกาศเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วง 7 เดือนแรกปี 2565 เพื่อชะลอเงินเฟ้อ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวจากการแพร่ระบาด COVID-19 เข้าสู่ภาวะถดถอย ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทำให้มีการคาดการณ์ว่า การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอาจจะปรับขึ้นไม่แรงมากตามที่หลายคนคาดการณ์เอาไว้ในตอนแรก ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นเริ่มรีบาวด์ และทำให้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลกลับมาเข้าในเดือน ก.ค. เล็กน้อย
ตลาดหุ้น 7 เดือนแรกปี 2565 มีเงินลงทุนเคลื่อนย้ายมายังตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม แนวโน้มค่าเงินดอลาร์สหรัฐที่แข็งค่าจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต ทำให้ค่าเงินในภูมิภาคอาเซียนอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี เงินบาทที่อ่อนค่าส่งผลบวกต่อภาคการส่งออกและท่องเที่ยวไทย โดย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2565 SET Index ปิดที่ 1,576.41 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนก่อนหน้า เป็นในทิศทางเดียวกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 SET Index ปรับลดลง 4.9%
SET Index ใน 7 เดือนแรกปี 2565 ได้แรงหนุนจากอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์จากการกลับมาเปิดเมือง โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 ได้แก่ กลุ่มบริการ กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร
เดือนกรกฎาคม มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 61,857 ล้านบาท ลดลง 27.5% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยใน 7 เดือนแรก มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 83,958 ล้านบาท โดยผู้ลงทุนต่างประเทศกลับมาซื้อสุทธิในเดือนกรกฎาคม โดยซื้อสุทธิ 4,662 ล้านบาท ทำให้ใน 7 เดือนแรกปี 2565 ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิรวม 113,730 ล้านบาท อีกทั้งผู้ลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ส่วนอัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือน ก.ค. เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชีย พบว่า ของเราดีกว่าเล็กน้อย เนื่องจากมีหุ้นใหญ่เข้ามา และอยากให้โฟกัสการปรับตัวของอุตสาหกรรมมากกว่าผลตอบแทน
อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามปัจจัยภายนอก ทั้ง FED Funds และ GDP ที่ประกาศออกมาแล้ว แต่ยังอยากให้ติดตามตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐ และตัวเลขเงินเฟ้อว่าจะปรับลงขนาดไหน และยังต้องจับตาการประชุม กนง. ในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ อย่างใกล้ชิด ว่าจะมีมติอย่างไร เพราะในการประชุมที่ผ่านมา ผลโหวตค่อนข้างใกล้เคียงกัน และหากมีการปรับขึ้น ก็ต้องจับตาว่าการส่งสัญญาณในการปรับขึ้นครั้งต่อๆ ไปจะเป็นอย่างไร.-สำนักข่าวไทย