ตลท. หนุน “สถานีขยะล่องหน คุ้งบางกะเจ้า” คัดแยกขยะ “ถุงวิบวับ”

กรุงเทพฯ 17 เม.ย. – ตลท. ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ขับเคลื่อนโครงการ “Care the Whale สถานีขยะล่องหน คุ้งบางกะเจ้า” ปีที่ 4 เพิ่มการคัดแยกขยะประเภท Multi-Layer Plastic หรือถุงวิบวับ ที่สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อม
 
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยฯ ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ วัดจากแดง บมจ. สหพัฒนพิบูล  บมจ. โอสถสภา และ บมจ. พริ้นซิเพิล แคปิตอล ส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวีตคนในชุมชน ณ คุ้งบางกะเจ้าจ.สมุทรปราการ ภายใต้โครงการ “Care the Whale สถานีขยะล่องหน คุ้งบางกะเจ้า” ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่4 ด้วยการปลูกฝังการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมคนในชุมชน ให้จัดการแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง ปีนี้เพิ่มการคัดแยกขยะประเภท Multi-Layer Plastic หรือ ถุงวิบวับ ที่มีจำนวนมากและทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมซึ่งปัจจุบันสามารถนำไปรีไซเคิลได้ ตั้งเป้าปี 2567 ชุมชนส่งขยะมาเข้าสู่กระบวนการคัดแยกเพิ่มกว่า 40% จากปีก่อน
 
พระราชวัชรบัณฑิต (ประนอม ธัมมาลังกาโร) เจ้าอาวาส วัดจากแดง กล่าวว่า ขออนุโมทนาบุญและขอขอบคุณหน่วยงานภาคเอกชนในความร่วมมือโครงการ “Care the Whale สถานีขยะล่องหน คุ้งบางกะเจ้า” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4ที่ผ่านมา ประชาชนในชุมชนคุ้งบางกะเจ้า มีส่วนร่วมและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริหารจัดการขยะ และให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมโดยรอบที่จะนำไปสู่ความยั่งยืนในระดับชุมชนอย่างแท้จริง สอดคล้องกับการทำงานของวัดจากแดงที่เป็นศูนย์เรียนรู้การบริหารจัดการขยะ และพัฒนาองค์ความรู้ต่อเชื่อมการทำงานกับหน่วยงานต่างๆ นำมาซึ่งนวัตกรรมตามแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยในปี 2566 โครงการ “Care the Whale สถานีขยะล่องหน คุ้งบางกะเจ้า” คัดแยกขยะจากชุมชนได้ถึง 354,265 กิโลกรัม โดย 86% เป็นขยะเศษอาหารซึ่งวัดได้นำขยะดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการทำน้ำหมักชีวภาพเพื่อใช้ประโยชน์ทางการเกษตร ในปี 2567 วัดจากแดงมีความยินดีที่โครงการสนับสนุนให้ชุมชนแยกขยะประเภทถุงวิบวับ หรือซองบรรจุภัณฑ์ที่เรียกว่า Multi-Layer Plastic เพิ่มเติม ซึ่งวัดสามารถนำมาผ่านกระบวนการแยกเป็นเชื้อเพลิงและอะลูมิเนียมเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
 
นายกีรติ โกสีย์เจริญ ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานบริหารกิจกรรมเพื่อสังคมและหัวหน้ากลุ่มงานสื่อสารองค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจดำเนินงานความยั่งยืนโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล(Environmental, Social and Governance: ESG) สำหรับโครงการ “Care the Whale สถานีขยะล่องหน คุ้งบางกะเจ้า” จ. สมุทรปราการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ดำเนินโครงการร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรต่อเนื่องเป็นปีที่ 4  เพื่อส่งเสริมสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนคุ้งบางกะเจ้า ด้วยการปรับพฤติกรรมคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทางและนำแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ในคุ้งบางกะเจ้า ตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถนำองค์ความรู้ เครื่องมือในการบริหารจัดการ และดึงพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาช่วยสนับสนุนการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ทำงานสอดประสานกับชุมชนในพื้นที่
 
“ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่งเสริมการบริหารจัดการขยะในคุ้งบางกะเจ้ารวม 378,759 กิโลกรัมลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ 341,559 kgCO2e เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 37,951 ต้น และในปี 2567 มีเป้าหมายว่าโครงการจะสามารถขับเคลื่อนให้ชุมชน หน่วยงาน ร้านค้า จัดการคัดแยกขยะได้ 500,000 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นกว่า 40% จากปีก่อน และเพิ่มประเภทขยะที่เข้าสู่กระบวนการคัดแยกให้ครบยิ่งขึ้น โดยเพิ่มประเภทถุงวิบวับ หรือ Multi-Layer Plastic ที่มีจำนวนมากเพราะเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ทั่วไปสำหรับเครื่องอุปโภคบริโภค แต่ที่ผ่านมายังไม่ถูกนำไปรีไซเคิลเนื่องจากมีต้นทุนในกระบวนการคัดแยกสูง วิธีการรีไซเคิลซับซ้อนกว่าพลาสติกประเภทอื่น หวังว่าการขับเคลื่อนโครงการในปีนี้จะลดผลกระทบของขยะต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนได้อย่างยั่งยืน” นายกีรติกล่าว
 
นางชัยลดา ตันติเวชกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทในฐานะที่เป็นพันธมิตรกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ดำเนินโครงการตั้งแต่ปีแรก ได้เห็นพัฒนาการและผลลัพธ์ทางสังคมและสิ่งแวดล้อมในคุ้งบางกะเจ้า ทั้งด้านปริมาณขยะที่ชุมชนคัดแยกและส่งมายังวัดจากแดงเพิ่มขึ้นทุกปี และการขยายการเข้าถึงชุมชนโดยให้ความรู้ถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มาจากขยะตกค้าง โดยบริษัทได้ส่งเสริมความรู้และการจัดการขยะแก่เยาวชนผ่านโรงเรียนในพื้นที่คุ้งบางกะเจ้านำไปสู่การสร้างจิตสำนึก ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในชุมชนในเรื่องการบริหารจัดการขยะ นอกจากนี้ ได้สนับสนุนสินค้าบริษัทในเครือให้กับชุมชนเพื่อแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ และในปีนี้จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องรวมถึงการให้ความรู้เรื่องการจัดการขยะประเภทใหม่ที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างยั่งยืน
 
นางสาวอติยา อาวัชนาการ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านความยั่งยืน บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การร่วมเป็นพันธมิตรในโครงการ “Care the Whale สถานีขยะล่องหน คุ้งบางกะเจ้า” สอดคล้องกับปณิธานขององค์กรที่ต้องการสร้างคนที่มีจิตใจของความเป็นผู้ให้เพื่อช่วยเหลือคน ชุมชน และสังคม และมุ่งขับเคลื่อนความยั่งยืนให้กับชุมชนผ่านความเชี่ยวชาญของบริษัทในด้านการเป็นผู้ดูแลสุขภาพ ในปีนี้ บริษัทต่อยอดแนวคิดโครงการขยะแลกสุขภาพ สนับสนุนสิ่งของดูแลสุขภาพไม่ว่าจะเป็น เครื่องวัดความดัน ปรอทวัดไข้ และเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถติดตามสถานะสุขภาพเบื้องต้นของตนเองได้ และลงพื้นที่ออกตรวจสุขภาพให้กับพระสงฆ์ในวัดจากแดงซึ่งเป็นศูนย์กลางสถานีขยะล่องหนและการคัดกรองสุขภาพคนในชุมชนโดยเจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ มีการให้ความรู้ถึงการจัดการขยะติดเชื้ออย่างถูกวิธี อีกทั้งยังเปิดให้ชุมชนนำขยะที่ผ่านการคัดแยกมาส่งที่ ณ จุดตรวจสุขภาพอีกด้วย นอกจากนี้เพื่อเป็นการต่อยอด การจัดการขยะประเภทถุงวิบวับกับทางวัดจากแดง ทางโรงพยาบาลจะได้ริเริ่มโครงการแยกขยะแผงยา และรับเป็นจุด Drop Point สำหรับขยะกลุ่มดังกล่าวเพื่อส่งต่อให้ทางวัดจากแดงได้นำไปจัดการต่อผ่านเครื่องนวัตกรรมไพโรไลซิสรุ่นใหม่ และได้อะลูมิเนียมเพื่อส่งต่อทำประโยชน์อื่นๆ เช่น ขาเทียม เป็นต้น
 
นางสุธิดา เสียมหาญ ผู้อำนวยการสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โครงการ “Care the Whale สถานีขยะล่องหน คุ้งบางกะเจ้า” ตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทเรื่องการจัดการขยะขวดแก้วในรูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพราะขวดแก้วเป็นวัสดุที่สามารถนำมารีไซเคิลได้ 100% และไม่จำกัดจำนวนครั้ง โดยปีที่ผ่านมา ชุมชนคุ้งบางกะเจ้าได้ส่งมอบขยะขวดแก้วมากถึง 20,623 กิโลกรัม และสำหรับปีนี้ คาดว่าจากการร่วมรณรงค์และขับเคลื่อนโครงการฯ มาอย่างต่อเนื่อง จะช่วยส่งเสริมพฤติกรรมการคัดแยกขยะของชุมชนให้มีการนำขยะขวดแก้วมาส่งที่สถานีขยะล่องหนเพิ่มมากขึ้น โดยบริษัทฯ ได้สมทบทุน 50 สตางค์ ต่อน้ำหนักขยะขวดแก้ว 1 กิโลกรัมและแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ในเครือให้กับวัดจากแดงตามมูลค่าน้ำหนักของขยะขวดแก้วที่สถานีขยะล่องหนรวบรวมได้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเชื่อมโยงเครือข่ายที่เป็นบริษัทรีไซเคิลเข้ารับซื้อขยะขวดแก้วจากวัดจากแดง เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ผลิตเป็นขวดแก้วใหม่ ซึ่งยอดขยะจากโครงการฯ ที่กลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลในแต่ละปีเป็นเครื่องยืนยันถึงพลังสำคัญของชุมชนในการดูแลใส่ใจสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี.-516-สำนักข่าวไทย



ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ภูมิธรรม” แบ่งงาน 2 รมช.มหาดไทย เจ้าตัวคุม “โยธาฯ-ปค.”

กระทรวงมหาดไทย 14 ก.ค. –“ภูมิธรรม” แบ่งงาน 2 รมช.มหาดไทยแล้ว เจ้าตัวคุม “โยธาฯ – ปค.” ฟาก “เดชอิศม์” คุม “ที่ดิน – สถ.” สางปัญหาที่ดิน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย รักษาราชการนายกฯ กล่าวว่า ขณะนี้ตนได้แบ่งงานกับทั้ง 2 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการทำงานของทั้ง 3 คนเราทำงานเป็นทีมเดียวกัน ส่วนหลักเกณฑ์การแบ่งก็กระจายให้ทั่วถึงเพื่อช่วยกันดูแล โดยตนกำกับดูแลกรมโยธาธิการและผังเมือง กรมการปกครอง สำนักปลัดกระทรวงมหาดไทย สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย การประสานงานส่วนราชการในสังกัด กระทรวงมหาดไทยตาม พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2553 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปาส่วนภูมิภาค และดูหน่วยงานส่วนที่เหลือทั้งหมด โดยทั้งหมดสงวนไว้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ และบุคคลซึ่งตนเป็นผู้ดูแล นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ได้มอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย กำกับดูแล กรมการพัฒนาชุมชน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสตรีและการดำเนินการเรื่องผ้าไทย รวมถึงกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย […]

รถพ่วงเบรกแตกลงเขา ชนแหลก 10 คัน เจ็บ 3

นครราชสีมา 13 ก.ค. – รถพ่วงเบรกแตกลงเขามอกลางดง ชนแหลกรวมสิบคัน บาดเจ็บ 3 คน ทำถนนมิตรภาพรถติดยาวหลายกิโลเมตร คนขับรถพ่วงบาดเจ็บ แต่ยังให้การได้ รถพ่วงบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ ชนแหลกนับ 10 คัน บนถนนมิตรภาพ ขาเข้ากรุงเทพมหานคร ช่วงลงเขามอกลางดง กิโลเมตรที่ 37-38 อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ตำรวจ สภ.กลางดง พร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยหลายหน่วยระดม เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ และช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ที่เกิดเหตุพบรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์คันต้นเหตุ ยี่ห้อฮีโน่ สีขาว ทะเบียน กรุงเทพมหานคร ด้านหน้าหัวลากพังยับ นายวิทยา อายุ 34 ปี คนขับ ได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้าย ยังนั่งอยู่บริเวณที่นั่งข้างคนขับ โดยเล่าว่า บรรทุกของมาเต็มตู้คอนเทนเนอร์ ช่วงลงเขาเกิดเบรกไม่อยู่ เนื่องจากลมหมด จึงทำให้พุ่งชนท้ายรถพ่วงบรรทุกไม้อีกคันที่อยู่ด้านหน้า จนกระเด็นไปคนละทิศละทาง ไม้กระจายเกลื่อนถนน ด้วยความแรงยังวิ่งไปเฉี่ยวชนกับรถที่วิ่งอยู่ด้านหน้าเสียหายอีก 8 คัน เป็นรถกระบะ 5 คัน, รถเก๋ง […]

มส.มีมติสั่งปลด-ถอดสมณศักดิ์ พระอาบัติปาราชิก เรียกพระ 5 รูปแจงด่วน

กรุงเทพฯ 13 ก.ค.-มหาเถรสมาคม ประชุมนัดพิเศษ มีมติสั่งปลด-ถอดสมณศักดิ์ พระอาบัติปาราชิก เผยสึกแล้ว 6 คน ยังติดต่อไม่ได้ 2 คน เตรียมแก้กฎมหาเถรสมาคม อ้างสุดล้าหลังกว่า 50 ปี ขณะที่พระเทพพัชราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดชูจิตฯ ชิงลาออกแล้ว นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แถลงข่าวภายหลังการประชุมมหาเถรสมาคมนัดพิเศษ ครั้งที่ 1/2568 ว่า สมเด็จพระสังฆราชห่วงใยต่อกระแสข่าวที่เกิดขึ้น จึงมีพระบัญชาให้มหาเถรสมาคม นิมนต์กรรมการฯประชุมเร่งด่วน ซึ่งทางกรรมการฯ มีข้อห่วงใย และมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยมีมติ ดังนี้ -พระที่ถูกกล่าวหา ต้องอาบัติปราชิก ถือว่าสิ้นสุดความเป็นพระภิกษุทางวินัย และต้องสึกโดยทันที ส่วนพระที่ยังไม่ถึงขั้นปราชิก ก็ให้ปลดออกจากตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกรูป และจะมีมติขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดสมณศักดิ์-ในระยะเร่งด่วน ให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ทุกระดับ ตรวจสอบดูแลและกำกับพฤติกรรมองพระในปกครองอย่างใกล้ชิด หากพบพฤติกรรมละเมิดพระธรรมวินัยให้ดำเนินการสอบสวน และรายงานมหาเถรสมาคมโดยเร็ว-กรณีพระภิกษุถูกกล่าวหาผิดพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ ให้ออกคำสั่พักการปฏิบัติหน้าที่ และให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฏหมาย พร้อมขอให้ระมัดระวังการให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนและสาธารณชน เนื่องจากยังเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา-และทบทวนปรับปรุงกฎระเบียบคณะสงฆ์ว่าด้วยการประทำผิดพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ โดยมหาเถรสมาคม เห็นควรขอประทานพระวินิจฉัยสมเด็จพระสังฆราช มีพระบัญชาโปรดให้แต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อคุ้มครองพระพุทธศาสนาคณะหนึ่ง […]

ส่งตัวดำเนินคดี นักท่องเที่ยวไทยทำร้ายทหารกัมพูชา

สุรินทร์ 13 ก.ค.-ทบ. เผยนักท่องเที่ยวไทยต่อยทหารกัมพูชา ที่ปราสาทตาเมือนธม เป็นอดีตทหารพราน ส่งตัวให้ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 13 ก.ค.68 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกกล่าวถึงกรณีที่งนักท่องเที่ยวชาวไทย ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาชุดประสานงาน ที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ว่า กองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารี ว่า เมื่อเวลาประมาณ 10.20 น. ได้เกิดเหตุการณ์นักท่องเที่ยวชาวไทยทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาชุดประสานงาน ณ บริเวณปราสาทตาเมือนธม โดยผู้ก่อเหตุได้ชกเจ้าหน้าที่กัมพูชา ทั้งทางด้านหลังและด้านหน้า ก่อนจะหลบหนีออกจากพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยสามารถติดตามและควบคุมตัวได้ในเวลาต่อมา จากการตรวจสอบเบื้องต้น ทราบว่าผู้ก่อเหตุคือ นายสมหมาย ศรีศุกรานันทน์ อดีตอาสาสมัครทหารพราน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานชมรมทหารพรานจิตอาสาค่ายปักธงชัย และประธานเครือข่ายทหารผ่านศึกจังหวัดสมุทรสาคร ทั้งนี้ เนื่องจากบริเวณพื้นที่เกิดเหตุเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทางเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายไทย ได้ทำความเข้าใจกับผู้เสียหายไปแล้วในเบื้องต้น เพื่อพยายามไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ในระดับเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย สำหรับผู้ก่อเหตุ ได้ให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป.-313.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

“ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ

17 ก.ค. – “ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ งงทำไมคนไทยไม่รักกัน ตอกพรรคที่เพิ่งหลุดร่วมรัฐบาลไป เป็นเขมรหรือไทย หลังติง “ลูกอิ๊งค์” ขายชาติ บอกปัจจุบันการเมืองไม่มีเสถียรภาพเหมือนสมัยรัฐบาล “คึกฤทธิ์” นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก พลิกเกมเศรษฐกิจไทย” และ “พลิกเกมเศรษฐกิจไทย สู่อนาคต” จัดโดย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม พร้อมครม. อาทิ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรมว.คมนาคม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุชาติ ตันเจริญ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ […]

เสวนา “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก”

17 ก.ค. – หลายหน่วยงานรวมพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในงานเสวนา “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก” โดย บมจ.อสมท นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดงานสัมมนา “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย…สู้วิกฤติโลก” ยอมรับว่า นับว่าปัญหาเศรษฐกิจโลกกระทบมายังไทย จากภาษีศุลกากรของสหรัฐกระทบมายังประชาชน ผู้ผลิต เอสเอ็มอีรายย่อย ความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน ประชาชน จึงต้องร่วมมือกันปลดล็อกอนาคตประเทศไทย…สู้วิกฤติโลก” โดยได้จัดเวทีใหญ่ให้ผู้กำหนดนโยบายและทิศทางของประเทศ และภาคเอกชน มาร่วมแสดงความเห็น ด้านเศรษฐกิจ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในหัวข้อ เกาะติดมาตรการกระทรวงการเงินการคลัง พลิกฟื้นกำลังซื้อในประเทศ และแนวโน้มเศรษฐกิจ และสงครามการค้า ภาษีนำเข้าของสหรัฐ ว่าทีมไทยแลนด์ นำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.คลัง กำหนดเจรจากับผู้แทนการค้าสหรัฐช่วงค่ำวันนี้ ต้องชั่งน้ำหนัก ทั้ง 2 มิติ คือ ผลกระทบที่ผู้ส่งออก และผู้ผลิตในประเทศทั้งภาคอุตสาหกรรม และเกษตรกร รัฐบาลไม่มอง เพียงจะเจรจาภาษีได้เท่าไหร่ ยอมรับไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ แต่จะสานประโยชน์ให้ตกกับทุกฝ่าย […]

ทบ. เร่งตรวจสอบวิเคราะห์ “ทุ่นระเบิด” คาดผลชัด 2-3 วัน

17 ก.ค.- โฆษก ทบ. แจงเร่งตรวจสอบเหตุกำลังพลเหยียบกับระเบิดชายแดนช่องบก คาดใช้เวลา 2-3 วัน ชัดเจนเรื่องชนิดและห้วงเวลาที่มีการนำทุ่นระเบิดมาติดตั้ง ยังไม่ยืนยันว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยภายหลังได้รับทราบรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 กรณีเมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (16 ก.ค.68) เกิดเหตุกำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 6021 เหยียบกับระเบิดระหว่างการลาดตระเวนในพื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี ทำให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ปัจจุบันทุกนายอาการปลอดภัยอยู่ในระหว่างการพักสังเกตอาการที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี อย่างใกล้ชิด สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับทุ่นระเบิดดังกล่าวนั้น ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเข้าพื้นที่เกิดเหตุและเก็บหลักฐาน มาดำเนินการวิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดอย่างละเอียด ซึ่งขั้นตอนนี้ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 – 3 วัน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจน ในเรื่องของชนิดและห้วงเวลาที่มีการนำทุ่นระเบิดมาติดตั้ง ตามที่สังคมได้ให้ข้อสังเกตว่าอาจเป็นทุ่นระเบิดที่ถูกวางขึ้นใหม่ ไม่ใช่ทุ่นระเบิดที่ตกค้างอยู่ในพื้นที่การสู้รบเดิม ทั้งนี้ โฆษกกองทัพบก ยังได้กล่าวว่า หลังจากนี้หน่วยในพื้นที่ชายแดน จะได้มีการตรวจสอบพิสูจน์ทราบเพิ่มเติมว่า ทางกัมพูชาได้มีการนำทุ่นระเบิดมาใช้ในพื้นที่หรือไม่ เพราะในปัจจุบันทั้งไทยและกัมพูชา ได้ให้สัตยาบันในการเข้าร่วมเป็นประเทศภาคีในอนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2542.-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 สั่งดูแลสิทธิสวัสดิการ-ปูนบำเหน็จ ทหารเหยียบกับระเบิด

17 ก.ค.- แม่ทัพภาค 2 สั่งดูแลสิทธิสวัสดิการ-ปูนบำเหน็จ ทหารเหยียบกับระเบิดขาขาด เลื่อนยศ “สิบเอก” รับบำนาญเกือบ 30,000 บาท/เดือน เงินช่วยเหลือกว่า 1 ล้านบาท บรรจุทายาทรับราชการ เมื่อวันที่ 17 ก.ค.68 รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งการให้ฝ่ายกำลังพลกองทัพภาคที่ 2 ได้ตรวจสอบสิทธิของข้าราชการทหารในการปฏิบัติราชการสนาม และให้ดำเนินการปูนบำเหน็จแก่พลทหารธนพัฒน์ หุยวัน สูงสุด เพราะ เป็นการปฏิบัติภารกิจเพื่อปกป้องอธิปไตยในการ ออกลาดตระเวนและเหยียบกับระเบิดที่เนิน 481 วานนี้ โดย ได้รับการปูนบำเหน็จ เลื่อนชั้นเป็นสิบเอก (ส.อ.) หลังจากรักษาตัวแล้วเสร็จ ปลดเหตุสูญเสียฯจากการรบ ได้รับบำนาญเดือนละ 15,600 บาท ซึ่งเมื่อรวม เงินรายเดือน จากหน่วยงาน/องค์กรต่าง ๆ แล้ว คาดว่าจะได้รับเงิน รวม 29,800 บาท/เดือน (โดยประมาณ) […]