ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME เดือน ส.ค.64 ปรับขึ้นเล็กน้อย

กรุงเทพฯ 22 ก.ย.-ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME เดือนสิงหาคม 2564 ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า แต่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ


นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เปิดเผยว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME ประจำเดือนสิงหาคม 2564 ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนกรกฎาคม 2564 ที่ระดับ 30.1 มาอยู่ที่ระดับ 31.9 แต่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ (น้อยกว่าค่าฐานที่ 50) สะท้อนว่าผู้ประกอบการ SME ส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อมั่นต่อภาวะธุรกิจและเศรษฐกิจในปัจจุบัน แต่ความเชื่อมั่นปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า การปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีฯ เป็นผลจากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่ช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2564 และมีสัญญาณการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคระบาดในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) ที่อนุญาตให้ธุรกิจบางแห่งเปิดให้บริการได้ภายใต้เงื่อนไข โดยสอดคล้องกับ Facebook movement range และ Google mobility index ซึ่งสะท้อนการเคลื่อนย้ายของผู้คน ที่เพิ่มขึ้นชัดเจนในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา บ่งชี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยองค์ประกอบของดัชนีด้านคำสั่งซื้อ ปริมาณการผลิต/การค้า/บริการ การลงทุน กำไร และการจ้างงาน ปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 21.5 22.9 34.0 21.3 และ 41.0 ตามลำดับ

ส่วนองค์ประกอบด้านต้นทุนปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 51.0 และดัชนี SMESI ภาคการผลิต ภาคการค้า และภาคบริการ ในเดือนนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 31.8 36.0 และ 29.0 ตามลำดับ อย่างไรก็ตามค่าดัชนี SMESI ยังค่อนข้างต่ำจาก 50 อยู่มาก สะท้อนว่าผู้ประกอบการ SME ส่วนใหญ่ยังกังวลต่อภาวะธุรกิจและเศรษฐกิจ ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป 


สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของผู้ประกอบการ SME รายภูมิภาค ได้แก่ เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปัจจุบันอยู่ที่ 30.7 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 26.6 โดยค่าดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากค่าเดิมที่ต่ำที่สุดเมื่อเดือนก่อนหน้า จากการผ่อนปรนมาตรการควบคุมโรคในพื้นที่ ทำให้ธุรกิจหลายประเภทกลับมาเปิดดำเนินกิจการและให้บริการได้มากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหาร และการผลิตอาหาร แม้จะมีข้อจำกัดในการนั่งรับประทานที่ร้าน แต่ยังสามารถขายผ่านเดลิเวอรี่ได้

ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคกลาง ปัจจุบันอยู่ที่ 29.4 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 28.7 ภาพรวมของธุรกิจปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย จากภาคการผลิต และการขนส่งสินค้าขยายตัว แต่พื้นที่ยังมีข้อจำกัดในการจัดกิจกรรมทางสังคมอยู่มาก ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการรวมกลุ่มของผู้คนยังคงชะลอตัวอยู่ เช่น ธุรกิจสันทนาการ/วัฒนธรรม/กีฬา เป็นต้น

ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคตะวันออก ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 30.7 ค่อนข้างทรงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 30.6 จากผลกระทบกลุ่มคลัสเตอร์โรงงานและสถานประกอบการ และมีปัญหาอุทกภัยน้ำท่วมในพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตโดยเฉพาะกลุ่มผลิตเสื้อผ้าและสิ่งทอ


ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคเหนือ ปัจจุบันอยู่ที่ 28.2 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 27.4 หลายธุรกิจมีการขยายตัวของยอดคำสั่งซื้อ เช่น ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง และรับเหมาก่อสร้างขนาดเล็ก แต่ธุรกิจโรงแรมและที่พักในพื้นที่ยังคงซบเซาอย่างมาก ส่งผลต่อรายได้และสภาพคล่องของภาคธุรกิจหลายแห่งต้องปิดกิจการชั่วคราว อีกทั้งพบคลัสเตอร์การแพร่ระบาดหลายแห่ง และราคาลำไยปรับตัวลดลงส่งผลต่อรายได้ภาคการเกษตรทำให้ค่าดัชนีรวมของพื้นที่น้อยที่สุดโดยเปรียบเทียบ

ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคใต้ ปัจจุบันอยู่ที่ 36.8  เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 35.9 จากธุรกิจส่วนใหญ่ยังเปิดดำเนินกิจการได้ และได้รับผลบวกจากโครงการ Phuket Sandbox อย่างไรก็ตาม จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่มากนัก และมักอยู่ในเฉพาะพื้นที่โรงแรม/ที่พัก หรือท่องเที่ยวใกล้ที่พักเท่านั้น ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวไม่ได้รับผลบวกเท่าที่ควร   ส่วนภาคเกษตรกรมีรายได้ปรับตัวดีขึ้น ตามราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น อาทิ ปาล์มน้ำมัน และยางพารา

ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 34.5 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 33.4  เนื่องจากพื้นที่มีข้อจำกัดในการเดินทางค่อนข้างน้อยโดยเปรียบเทียบ ทำให้หลายธุรกิจยังพอดำเนินการได้ โดยเฉพาะร้านจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป และธุรกิจด้านความงาม รวมไปถึงการผลิตอาหาร และกลุ่มงานไม้และเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งบ้านที่ปรับดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 45.2 ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 41.9 เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่คาดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะคลี่คลายมากยิ่งขึ้น และสามารถดำเนินธุรกิจได้คล่องตัวมากขึ้น มีผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นเมื่อเทียบกับปัจจุบัน โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค อีกทั้งมีความคาดหวังว่าธุรกิจการท่องเที่ยวจะปรับตัวดีขึ้นในช่วง high season ของปลายปี และกิจกรรมทางสังคมต่างๆ ที่น่าจะดำเนินธุรกิจได้มากขึ้น ภายใต้ข้อกำหนดการควบคุมโรค

ส่วนปัญหาสำคัญที่มีผลกระทบต่อกิจการ SME ประเทศในเดือนนี้ 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. ด้านผู้บริโภคและกำลังซื้อ 2. ด้านต้นทุน 3. ด้านการได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงาน 4. ด้านคู่แข่งขัน และ 5. ด้านแรงงาน.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โค้งสุดท้ายเลือกตั้ง นายก อบจ.อุบลฯ เดือด ส่งท้ายปี

ใกล้เข้ามาทุกขณะสำหรับการเลือกตั้งนายก อบจ.อุบลราชธานี วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคมนี้ ซึ่งถือเป็นสนามเลือกตั้งท้องถิ่นขนาดใหญ่ส่งท้ายปีนี้ การแข่งขันดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครต่างเร่งหาเสียงกันอย่างเต็มที่ โดยมีผู้สมัคร 4 คน ลงชิงชัย ไปติดตามบรรยากาศโค้งสุดท้ายว่าใครจะเป็นผู้คว้าชัย

ทอ.ส่ง F-16 ขึ้นบินป้องน่านฟ้า หลังมีอากาศยานไม่ทราบฝ่าย เหนือชายแดนไทย-เมียนมา

กองทัพอากาศส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 ขึ้นบิน เพื่อพิสูจน์ฝ่ายและสกัดกั้นอากาศยานไม่ทราบฝ่าย บริเวณแนวชายแดนไทย-เมียนมา จ.ตาก

อุตุฯ เผยอีสาน-เหนือ อากาศหนาว กทม.อุณหภูมิลดลงเล็กน้อย

กรมอุตุฯ เผยภาคอีสาน ภาคเหนือ มีอากาศเย็นถึงหนาว ส่วนภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ตอนบน มีอากาศเย็นในตอนเช้า ส่วนกรุงเทพฯ-ปริมณฑล อุณหภูมิลดลงเล็กน้อย ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศหนาวเย็น

lightened Christmas tree in front of U.S. Capitol

รู้จัก “ชัตดาวน์” ของสหรัฐและผลกระทบ

วอชิงตัน 20 ธ.ค.- หน่วยงานจำนวนมากของรัฐบาลสหรัฐเสี่ยงต้องปิดทำการชั่วคราว หรือที่เรียกว่า กัฟเวิร์นเมนต์ ชัตดาวน์ (government shutdown) หลังผ่านพ้นเที่ยงคืนวันนี้ (20 ธันวาคม) ตามเวลาสหรัฐ หากรัฐสภาไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณฉบับใหม่ได้ทันเวลา หลังจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติไม่เห็นชอบร่างงบประมาณฉบับใหม่เมื่อวานนี้ สาเหตุที่เสี่ยงชัตดาวน์ ปกติแล้วรัฐสภาสหรัฐ ซึ่งประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจะต้องจัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยงานรัฐบาลกลางทั้งหมด 438 แห่งก่อนวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี แต่ที่ผ่านมาสมาชิกรัฐสภามักทำไม่ได้ตามกำหนดเวลา และมักผ่านร่างงบประมาณชั่วคราวเพื่อให้หน่วยงานรัฐบาลสามารถดำเนินการได้ต่อไปในระหว่างที่สมาชิกรัฐสภาหารือกันเพื่อผ่านร่างงบประมาณจริง ร่างงบประมาณชั่วคราวฉบับปัจจุบันจะหมดอายุเมื่อเข้าสู่เช้าวันเสาร์ตามเวลาสหรัฐ สมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตเตรียมร่างกฎหมายที่จะขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 14 มีนาคม 2568 แต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีเรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันลงมติไม่เห็นด้วย และเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติไม่เห็นชอบร่างงบประมาณที่เสนอใหม่ ดังนั้นหากรัฐสภาไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณฉบับใหม่ได้ก่อนที่ร่างงบประมาณชั่วคราวฉบับปัจจุบันจะหมดอายุ ก็จะเกิดการชัตดาวน์ เพดานหนี้ที่ทรัมป์ต้องการให้แก้ นายทรัมป์ยังต้องการให้สมาชิกรัฐสภาแก้ปัญหาเรื่องการกำหนดเพดานหนี้ประเทศให้รัฐบาลสามารถกู้ยืมได้มากขึ้น ก่อนที่เขาจะสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 มกราคม 2568 รัฐสภาสหรัฐเป็นผู้กำหนดเพดานหนี้สาธารณะที่อนุญาตให้รัฐบาลก่อหนี้ แต่เนื่องจากรัฐบาลมักใช้จ่ายมากกว่ารายได้ที่ได้จากการจัดเก็บภาษี สมาชิกรัฐสภาจึงต้องคอยแก้ปัญหานี้เป็นครั้งคราว รัฐสภาสหรัฐกำหนดเพดานหนี้สาธารณะครั้งแรกในปี 2482 โดยกำหนดไว้ที่ 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.55 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน) และนับจากนั้นเป็นต้นมาได้ขยายเพดานหนี้แล้วทั้งหมด 103 […]

ข่าวแนะนำ

ฟรีคอนเสิร์ต “มหานครคัลเลอร์ฟูลปาร์ตี้ 2025” ส่งสุขรับปีใหม่

ส่งความสุขรับปีใหม่ กับฟรีคอนเสิร์ต “มหานครคัลเลอร์ฟูลปาร์ตี้ 2025” ศิลปินลูกทุ่งเกือบ 100 ชีวิต ร่วมโชว์จัดเต็ม

เลือกตั้งนายก อบจ.อุบลฯ “กานต์” ส่อเข้าป้าย

เลือกตั้งนายก อบจ.อุบลราชธานี “กานต์” หมายเลข 1 จากเพื่อไทย ส่อเข้าป้าย ด้าน ปชน. แถลงยอมรับยังไม่เป็นที่ไว้วางใจ ส่วนอุตรดิตถ์ “ชัยศิริ” อดีตนายก อบจ. ส่อเข้าวิน

เด้ง ตร.จราจร ปมคลิปรับเงินแลกไม่เขียนใบสั่ง

ผบก.ภ.จว.นนทบุรี สั่งย้าย “รอง สว.จร.สภ.รัตนาธิเบศร์” เซ่นคลิปรับเงินแลกไม่ออกใบสั่ง พร้อมตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงภายใน 3 วัน ด้านเจ้าตัวอ้างไม่เห็นเงินที่วางบนโต๊ะในตู้ควบคุมสัญญาณไฟจราจร