กรุงเทพฯ 15 พ.ค. – การเมืองวุ่น ปัญหาภาษีสหรัฐ ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย คนไทยไร้อารมณ์จับจ่าย ไม่มั่นใจอนาคต ส่งผลดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เม.ย. ลดลงทุกรายการ ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ต่ำสุดในรอบ 7 เดือน
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) เดือน เม.ย.68 อยู่ที่ระดับ 55.4 ปรับตัวลดลงทุกรายการ ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 7 เดือน นับตั้งแต่เดือน ต.ค.67 เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าจากนโยบาย Trump 2.0 โดยดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวม อยู่ที่ 49.3 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน อยู่ที่ 53.0 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 63.9
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่องแสดงว่า ผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้า และค่าครองชีพสูง ตลอดจนปัญหาสงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคต และยังมีปัจจัยที่พืชผลทางการเกษตรหลัก ๆ ของไทยราคาย่อตัวลง ล่าสุดยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมือง กระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี ปัญหาการเข้ารักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นการเมืองไทย ออกมาต่ำสุดในรอบ 7 เดือน

“การเมืองเป็นสถานการณ์ที่เจือเข้ามาในระยะหลัง สอดคล้องกับการไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย โดยเฉพาะกับสินค้าคงทน เช่น บ้าน และรถ รวมถึงค่าใช้จ่ายการท่องเที่ยว สถานการณ์เริ่มมีผลต่อเศรษฐกิจ คนใช้จ่ายน้อย เริ่มมีเสียงบ่นจากทั่วประเทศว่ายอดขายหาย ซึ่งก็สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยด้วยเช่นกัน รวมถึงดัชนีวัดความสุข ที่ย่อตัวลงต่ำสุดในรอบ 26 เดือน นับตั้งแต่ มี.ค.66 ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นตัวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจยังไม่โดดเด่น และยังไม่เป็นขาขึ้นได้เร็ว” นายธนวรรธน์ กล่าว
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ขณะนี้ทุกฝ่ายรอดูมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลออกมาเพิ่มเติม เช่น กรณีเงินดิจิทัลวอลเล็ตในกลุ่มวัยรุ่น ที่ยังไม่มีความชัดเจน การรอออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลจะใช้เม็ดเงินราว 2-5 แสนล้านบาท โดยเม็ดเงินเหล่านี้ก็มีเงื่อนไขสำคัญคือเสถียรภาพของรัฐบาล ซึ่งหากยุบสภาฯ ก็อาจส่งผลให้การจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 69 ต้องล่าช้าออกไปอย่างน้อย 3-6 เดือน ภาพรวมแล้ว ถือว่าเรื่องการเมืองยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค
“ส่วนตัวแล้วไม่สนับสนุนการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต อยากเห็นรัฐบาลให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อทำให้เกิดตัวคูณทางเศรษฐกิจมากขึ้น ตลอดจนอยากเห็นการเร่งใช้จ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 68 (ก.ค.-ก.ย.68)” นายธนวรรธน์ กล่าว
นายวาทิตร รักษ์ธรรม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า ปัจจัยลบสำคัญที่มีผลต่อดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน เม.ย.68 ได้แก่ 1.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 68 ลงเหลือโต 2.1% จากเดิมคาดโต 3% สาเหตุหลักจากแรงกดดันด้านการค้าโลก โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า 2.ผู้บริโภคยังมีความรู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า ท่ามกลางปัญหาค่าครองชีพสูง และมองว่ารายได้ไม่สอดคล้องกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น 3.ราคาพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง และยางพารา อยู่ในระดับต่ำกว่าปีก่อน ส่งผลให้รายได้เกษตรกรไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก 4.ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังคงยืดเยื้อ 5.เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย และ 6.กังวลปัญหาภัยแล้ง ที่จะกระทบต่อการใช้น้ำในภาคเกษตร อุตสาหกรรม และครัวเรือน
อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยบวกที่ช่วยสนับสนุน ได้แก่ 1.คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 1.75% ต่อปี 2.ครม.เห็นชอบมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน และจดจำนองอสังหาริมทรัพย์ เหลือ 0.01% และ 3.การส่งออกไทยเดือนมี.ค.68 มีมูลค่าสูงถึง 29,548 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 17.84% และเกินดุลการค้า 972 ล้านดอลลาร์. -511-สำนักข่าวไทย