กรุงเทพฯ11ส.ค.-ผลการดำเนินงานกลุ่มบริษัทบางจากฯ ครึ่งปีแรกของปี 2564 มีรายได้รวม 85,006 ล้านบาท EBITDA สูงสุดเป็นประวัติการณ์ 9,006 ล้านบาท จากราคาที่ผันแปรตามความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 ของกลุ่มบางจากฯ ว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 85,006 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 มี EBITDA สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 9,006 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 737 มีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 4,048 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 162 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 2.80 บาท จากการได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบและราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นโดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในครึ่งปีแรก 2564 อยู่ที่ 63.62 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นร้อยละ 56 จากครึ่งปีแรกของปี 2563 และทำให้กลุ่มบริษัทฯ มี กำไรสตอกหรือInventory Gain 3,773 ล้านบาท ธุรกิจโรงกลั่นมีค่าการกลั่นพื้นฐานทรงตัวในทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้น อีกทั้งได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม OKEA 371 ล้านบาท ความต้องการใช้น้ำมันเครื่องบินที่ยังอยู่ในระดับต่ำ บริษัทฯ จึงได้ทำการปรับโรงกลั่นเป็น Niche Products Refinery นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ท้องตลาด เช่น UCO (Unconverted Oil) มีปริมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าตัวจากไตรมาส 2 ปี 2563 ผลิตสารทำละลาย (Solvent) และยังวางแผนต่อยอดผลิตภัณฑ์หลากหลาย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังปี 2564 ความต้องการใช้น้ำมันอาจได้รับแรงกดดันจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าที่ทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดในหลายประเทศกลับมารุนแรงอีกครั้ง โดยเฉพาะในเอเชีย ทำให้รัฐบาลของแต่ละประเทศกลับมาใช้มาตรการคุมเข้ม ส่งผลกระทบให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงภาพรวมของเศรษฐกิจโลก อีกทั้งการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ที่ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันทั้งประเทศ
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ของปี 2564 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 43,775 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 มี Operating EBITDA 3,059 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน มี EBITDA 4,269 ล้านบาท ลดลงร้อยละ10 ในขณะที่ค่าการกลั่นพื้นฐานปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.18 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยในไตรมาสนี้ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 107,000 บาร์เรลต่อวัน หรือ คิดเป็นร้อยละ 89 ของกำลังการผลิตรวม.ธุรกิจการค้าน้ำมันโดยบริษัท BCP Trading Pte. Ltd. มีธุรกรรมการซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 30
กลุ่มธุรกิจการตลาด ผลการดำเนินงานปรับลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าแต่ปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกสามตลอดทั้งไตรมาส.. มีส่วนแบ่งการตลาดด้านปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการสะสมเดือนมกราคม – มิถุนายน 2564
อยู่ที่ร้อยละ 15.9 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดในอันดับ 2 (ข้อมูลกรมธุรกิจพลังงาน) โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/2564 มีจำนวนสถานีบริการน้ำมัน 1,247 สถานี และมีสถานีอัดประจุไฟฟ้า PEA VOLTA ติดตั้งในสถานีบริการน้ำมันบางจาก 27 สถานี ให้บริการใน 17 จังหวัดทั่วประเทศ
กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า โดยบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG ผลการดำเนินงานปรับเพิ่มขึ้นจากปริมาณจำหน่ายกระแสไฟฟ้าสูงขึ้น โดยหลักมาจากปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานน้ำในสปป.ลาว ที่มีปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้น และ ได้ขยายการลงทุนไปยังธุรกิจผลิตและจำหน่ายระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ (Utility-Scale Energy Storage System) หรือ แบตเตอรี่ประเภทวานาเดียมรีดอกซ์โฟลว์ (Vanadium Redox Flow) โดยซื้อหุ้นกู้แปลงสภาพบริษัท วีอาร์บี เอนเนอร์ยี่ (VRB Energy Inc.) วงเงิน 24 ล้านเหรียญสหรัฐฯ .-สำนักข่าวไทย