กรุงเทพฯ 31 มี.ค. – ดีพร้อม จับมือบางจากฯ ผนึกกำลัง 5 ยักษ์ใหญ่ภาคธุรกิจ เสริมความร่วมมือสร้างเครือข่ายบริหารจัดการน้ำมันใช้แล้ว ผลักดันการผลิต SAF ตามแนวทางเศรษฐกิจ BCG ตอบโจทย์แก้วิกฤตสภาวะภูมิอากาศ ด้านบางจาก เสนอรัฐกำหนดสัดส่วนการใช้ SAF ในอุตฯการบิน – ให้สิทธิประโยชน์จูงใจการลงทุน
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธี ลงนามความร่วมมือ (MOU) “การบริหารจัดการน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว เพื่อนำมาผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน ตามนโยบาย Bio-Circular-Green Economy” ระหว่าง กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กับบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และพันธมิตรภาคธุรกิจที่มีการใช้น้ำมันปรุงอาหาร ได้แก่ กลุ่มเซ็นทรัล บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) และสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป เพื่อสร้างเครือข่ายในการบริหารจัดการโซ่อุปทานของน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว (Used Cooking Oil: UCO) สำหรับใช้เป็นวัตถุดิบผลิตน้ำมันอากาศยานยั่งยืน หรือ SAF ในเชิงพาณิชย์ โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมการบินไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
นายเอกนัฏ เปิดเผยว่า การรวบรวมน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วจากภาคอุตสาหกรรม เพื่อนำมาผลิต SAF สอดคล้องกับนโยบายของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ที่ต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและปรับบทบาทให้ประเทศไทยเป็นผู้เล่นสำคัญทางเศรษฐกิจในเวทีโลก รวมถึงการมุ่งมั่นสู่การเป็นศูนย์กลางทางการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาค ที่จะช่วยสร้างข้อได้เปรียบให้ผู้ผลิตสินค้าและบริการในประเทศและช่วยเปิดประตูบานใหญ่สู่การค้าโลก อีกทั้งในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมที่ต้องการขับเคลื่อนนโยบาย “สู้ เซฟ สร้าง” ผ่านการปฏิรูปอุตสาหกรรม 3 แนวทาง ประกอบด้วย ปฏิรูปที่ 1 “การจัดการกาก สารพิษ ที่ทำร้ายชีวิตประชาชน” โดยปรับการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมทั้งระบบ ปฏิรูปที่ 2 “Save อุตสาหกรรมไทย” ด้วยการสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันของ SMEs และปฏิรูปที่ 3 “การสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่” ที่เป็นมิตร
กับสิ่งแวดล้อม เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ความร่วมมือของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กับบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ 5 หน่วยงานชั้นนำในแวดวงภาคธุรกิจ นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการบูรณาการการทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ของประเทศในทุกมิติ

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้จัดทำแนวทางการส่งเสริมการผลิต SAF และศึกษาวัตถุดิบที่มีศักยภาพในการผลิต SAF โดยเฉพาะน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว (Used Cooking Oil: UCO) ตามแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศไทย รวมถึงเดินหน้าสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการ พร้อมทั้งสนับสนุนการบริหารจัดการโซ่อุปทานของ UCO สำหรับใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต SAF โดยเป็นการลงนามใน MOU ระหว่าง กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กับบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และพันธมิตรภาคธุรกิจที่มีการใช้น้ำมันปรุงอาหาร เพื่อสร้างเครือข่ายและส่งเสริมการบริหารจัดการโซ่อุปทานของ UCO ทั้งจากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ สำหรับใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต SAF ในเชิงพาณิชย์ รองรับอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทยให้มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการขนส่งทางอากาศ ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัสดุเหลือทิ้ง
ตามนโยบาย Bio-Circular-Green Economy
นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า ดีพร้อมได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานภายในกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณความต้องการใช้ (Demand) และกำลังการผลิตของผู้ผลิต SAF รวมถึงปริมาณแหล่งวัตถุดิบศักยภาพ (Supply) อาทิ น้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว (UCO) น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ผลิตผลจากอ้อย เช่น กากน้ำตาล (Molasses) และเพื่อหาแนวทางการพัฒนาระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่จะช่วยขับเคลื่อนการผลิต SAF จากวัตถุดิบศักยภาพในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม สำหรับในระยะแรกของความร่วมมือภายใต้ MOU นี้ มุ่งเน้นการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดกลไกการบริหารจัดการโซ่อุปทานของ UCO สำหรับการผลิต SAF ทั้งจากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ โดยมีขอบเขตการดำเนินงานตั้งแต่ การประชาสัมพันธ์ แนะนำ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือ พร้อมทั้งสร้างการรับรู้และความตระหนักตลอดโซ่อุปทานในกระบวนการรวบรวม UCO สู่การเพิ่มมูลค่าเป็น SAF ตามแนวทาง BCG Model อีกทั้ง ยังเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับหน่วยงานอื่น ๆ โดยเฉพาะภาคครัวเรือนให้หันมาให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จาก UCO
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มบริษัทบางจาก มีความยินดีที่หน่วยงานภาครัฐและพันธมิตรภาคธุรกิจให้การสนับสนุนการผลิต SAF กุญแจสำคัญสู่การลดคาร์บอนจากอุตสาหกรรมการบิน โดยกลุ่มบริษัทบางจาก มีความพร้อมในฐานะผู้บุกเบิกการผลิต Neat SAF 100% ในประเทศไทยด้วยกำลังการผลิต 1 ล้านลิตรต่อวัน ภายใต้ระบบที่ได้รับการรับรองระดับสากล International Sustainability and Carbon Certification (ISCC) ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่ ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต ไปจนถึงการขนส่ง
อย่างไรก็ดี ปัญหาสำคัญที่ประเทศไทยกำลังเผชิญและจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเร่งด่วน คือ 1. การสร้างความหลากหลายของวัตถุดิบสำหรับการผลิต SAF และ 2. การกำหนดนโยบายภาครัฐที่ชัดเจนหรือ mandate เพื่อผลักดันการใช้ SAF ในประเทศโดยเร็ว จึงขอเสนอแนวทางต่อหน่วยงานภาครัฐในการพิจารณา mandate เช่นการกำหนดสัดส่วนการใช้ SAF ในอุตสาหกรรมการบิน ควบคู่กับการออกมาตรการสนับสนุนหรือสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ภาคธุรกิจ และจูงใจให้เกิดการลงทุนในระบบนิเวศของ SAF อย่างมั่นคงยิ่งขึ้น เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ไม่เพียงช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจไทย แต่ยังสร้างโอกาสในการยกระดับประเทศไทย ให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางพลังงานสะอาดของภูมิภาคในอนาคตได้.-517-สำนักข่าวไทย