นนทบุรี 19 ก.ค.-สนค.เผยว่าสินค้า “สมุนไพร” มีแนวโน้มเติบโตสูงหลังคนนิยมบริโภคเพื่อป้องกันโรคและรักษาสุขภาพ แนะเร่งพัฒนา ใช้นวัตกรรม และผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐานพร้อมหันมาขายผ่านออนไลน์ ออฟไลน์ตามตลาดป้องกันติดเชื้อโควิด
นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้ทำการศึกษาและวิเคราะห์สินค้าที่มีแนวโน้มเติบโตสูงโดยเฉพาะกลุ่มสมุนไพรไทยพบว่าเป็นสินค้าที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงมาก เพราะเป็นสินค้าที่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศมีความต้องการ หากผู้ผลิต ผู้ประกอบการไทยมีการวางแผนการผลิต และการทำตลาดจะสร้างรายได้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ มีปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีความต้องการสินค้าสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น คือ 1. การป้องกันสุขภาพ ผู้บริโภคนิยมบริโภคสินค้าที่ป้องกันและดูแลสุขภาพมากกว่าการรักษา บริโภคแล้วอารมณ์ดี ลดเครียด เช่น เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม และสินค้าที่ทำจากพืช 2. การกลับสู่สามัญ ผู้บริโภคนิยมสินค้าที่ทราบแหล่งที่มา โดยใช้ส่วนผสมและภูมิปัญญาแบบดั้งเดิม 3.การเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะปัจจุบัน เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยให้ตรวจสอบสุขภาพของตัวเองได้ ทำให้ผู้บริโภคนิยมบริโภคสินค้าที่ดูแลสุขภาพ และ 4.ความโปร่งใส ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสินค้าที่มีฉลากโปร่งใส ระบุส่วนผสมชัดเจน และต้องเป็นอาหารปลอดภัย ตรวจสอบแหล่งที่มาได้ ตรวจสอบย้อนกลับได้
นอกจากนี้ ยังมีเมกะเทรนด์ที่ส่งผลกระทบต่อการค้าสินค้าสมุนไพร ได้แก่ สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ทำให้เกิดแนวโน้มความต้องการสินค้าและบริการที่จะมารองรับประชากรสูงอายุ ซึ่งจะกลายเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และเป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ รวมถึงผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตยุคดิจิทัล (Digital Lifestyle) ที่ส่งผลให้แบรนด์สินค้าและบริการ ต้องหันมาให้ความสำคัญกับการใช้สื่อและเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น ทั้งการสื่อสารการตลาด การให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภค และเป็นช่องทางการขาย
สำหรับข้อเสนอแนะในการพัฒนาศักยภาพสมุนไพรไทย จะต้องยึดหลัก BCG Model ที่เน้นการพัฒนา 3 เศรษฐกิจ คือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว โดยต้องใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และต้องผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐานและกฎเกณฑ์สากล ให้ความสำคัญกับการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมาตรฐานแรงงานที่ดี สินค้าต้องตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาได้ และปรับรูปแบบบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัย มีความปลอดภัย
ส่วนการทำตลาด สินค้าต้องมีจุดขาย มีเรื่องเล่า ที่มาที่ไป เพื่อสร้างความสนใจจากผู้บริโภค และต้องให้ความสำคัญกับการตลาดทั้งรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด โดยทำการตลาดออนไลน์ต้องทำการโฆษณาผ่านสื่อโซเซียลมีเดียต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการรับรู้และสนใจซื้อ ส่วนออฟไลน์ ก็ต้องทำ ทั้งการจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ การให้ข้อมูลสรรพคุณของสมุนไพรไทย หรือทำแบบผสมผสานในรูปแบบไฮบริด
ทั้งนี้ ตลาดส่งออกสินค้าสมุนไพรของไทย เมื่อพิจารณาจากมูลค่าการส่งออกสมุนไพร ปี 2563 พบว่า สินค้าพืชสมุนไพร (HS 1211) ได้แก่ พืชสมุนไพร มีตลาดส่งออกที่สำคัญ คือ จีน คิดเป็นร้อยละ 34.3รองลงมา คือ ญี่ปุ่นร้อยละ 26.6 เวียดนาม ร้อยละ 12.4 บังกลาเทศร้อยละ 5.5 และเกาหลีใต้ ร้อยละ 4.2 และสินค้าสารสกัดจากสมุนไพร (HS 1302) ได้แก่ สารสกัดสมุนไพร มีตลาดส่งออกที่สำคัญ คือ เมียนมา คิดเป็น ร้อยละ 25.5 รองลงมา คือ ญี่ปุ่น ร้อยละ 18.1 สหรัฐฯ ร้อยละ 12.4 มาเลเซียร้อยละ 9 และเวียดนามร้อยละ 6 และหากดูสถานการณ์การส่งออกสมุนไพรในตลาดโลกในปี 2563 ทั่วโลกมีการส่งออกสินค้าพืชสมุนไพร (HS 1211) มูลค่ารวมทั้งสิ้น 3,526.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าพืชสมุนไพร อันดับที่ 40 ส่วนแบ่งมูลค่าการส่งออกร้อยละ 0.4 ส่วนสินค้าสารสกัดจากสมุนไพร (HS 1302) มูลค่าการส่งออกรวมทั้งสิ้น 6,455.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าสารสกัดจากสมุนไพร อันดับที่ 39 ส่วนแบ่งมูลค่าการส่งออกร้อยละ 0.2 จึงมองว่าสินค้าสมุนไพรไทยยังมีโอกาสขยายตลาดได้อีกมาก.-สำนักข่าวไทย