กรุงเทพฯ 25 มี.ค.-ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย คาดเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 เริ่มเห็นสัญญาณบวก แล้วกลับมาเติบโตร้อยละ 7.8 โดยมีปัจจัยสนับสนุน ทั้งการส่งออก การใช้จ่าย มาตรการภาครัฐ ขณะที่รถมือสองและจักรยานยนต์จะเป็นอุตสาหกรรมเด่นในปีนี้
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ไม่ค่อยสดใส จากการระบาดโควิดรอบใหม่ เมื่อปลายปี 2563 มีผลให้กิจกรรมเศรษฐกิจเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ยังไม่เปิดเต็มที่ คนระมัดระวังการใช้จ่าย ทั้งในห้างฯ ท้องถนน ออฟฟิศ กระแสการทำงานที่บ้าน (WFH) กลับมา แต่ปลายไตรมาส 1 เริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวก คนเริ่มจับจ่าย รถเริ่มติด กิจกรรมเศรษฐกิจเริ่มขยับ เห็นสัญญาณโมเมนตัมที่กำลังจะดีขึ้น เศรษฐกิจไทยกำลังจะผ่านพ้นช่วงฟื้นตัวตะกุกตะกัก ในไตรมาส 1 GDP ที่คาดว่าจะหดตัวลบร้อยละ 4.1 น่าจะติดลบเป็นไตรมาสสุดท้าย และเริ่มเป็นบวกในไตรมาส 2
ทั้งนี้ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย คาดว่า GDP ไตรมาส 2 จะกลับมาเป็นบวกร้อยละ 7.8 ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไตรมาส 2 ได้แก่ การส่งออกสินค้าจะเร่งตัวมากขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ จีน และโลก คนใช้จ่ายมากขึ้น จากการอัดอั้นช่วงไตรมาส 1 มาในไตรมาส 2 เริ่มจับจ่ายมากขึ้น กลุ่มที่ฟื้นตัวเร็วกว่าเพื่อน คือ กลุ่มอาหารเครื่องดื่ม สินค้าเล็กๆ น้อยๆ มาตรการภาครัฐออกมาเร่งการจับจ่าย เร่งการลงทุน เป็นปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยช่วงไตรมาส 2 อย่างไรก็ดี มีปัจจัยเชิงลบที่รั้งเศรษฐกิจไตรมาส 2 ยังไม่สดใสถึงขั้นสุด คือ การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้น สืบเนื่องจากวัคซีนในประเทศที่เพิ่งเริ่มฉีด ทำให้นักท่องเที่ยวยังไม่กลับเข้ามามากนัก สิ่งที่ต้องติดตาม คือ มาตรการผ่อนผันเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ที่น่าจะช่วยในช่วงครึ่งหลังของปี การลงทุนภาคเอกชนยังชะลอตัวอยู่ แม้การส่งออกสินค้าดีขึ้น การใช้จ่ายของคนในประเทศดีขึ้น แต่ยังไม่กระจายตัวออกไปในวงกว้าง การบริโภคสินค้าคงทน โดยเฉพาะสินค้าที่คนต้องคิดไตร่ตรองก่อนตัดสินใจซื้อ คนยังระมัดระวังอยู่
ด้านค่าเงินบาทน่าจะดีกว่าที่คาด คาดว่าเงินบาทจะอ่อนค่า เพราะหลังจากสหรัฐจะกังวลเรื่องเงินเฟ้อ หลังจากอัดฉีดเงินเข้ามาเต็มที่ นำไปสู่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) ที่สูงขึ้น มีผลให้การคาดการณ์เงินเฟ้อที่จะตามมา คนเลยกังวล เงินไหลกลับไปสหรัฐมากขึ้น ทำให้ดอลลาร์แข็งค่า บาทอ่อนค่า ส่วนนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงดอกเบี้ยที่ร้อยละ 0.50 ตลอดทั้งปี อย่างไรก็ดี ธปท.น่าจะเลือกใช้นโยบายการเงินอื่น นอกจากดอกเบี้ย อัดฉีด เงินช่วยเหลือกลุ่ม SME มาตรการอื่นๆ เร่งปรับโครงสร้างหนี้ต่างๆ ของครัวเรือน ขณะที่นโยบายการเงินเป็นกองหลังรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ เราคงต้องหวังให้นโยบายการคลังขับเคลื่อนมากกว่านี้ นอกจากมาตรการโอนเงินกระตุ้นการบริโภคแล้ว เราอาจเห็นมาตรการจ้างงาน หรือสนับสนุนการสร้างสาธารณูปโภคในพื้นที่ต่างๆ มากขึ้น เพื่อสร้างรายได้ให้คนในท้องถิ่น
สำหรับอุตสาหกรรมเด่นที่น่าจะฟื้นตัวไตรมาส 2 ได้แก่ รถมือสอง น่าจะฟื้นเร็วกว่ารถป้ายแดง คนประหยัดเลือกซื้อรถมือสองคุณภาพดี รถจักรยานยนต์เกี่ยวข้องกับราคาสินค้าภาคเกษตร รายได้ภาคเกษตร อุตสาหกรรมเกี่ยวข้องกับค้าปลีกค้าส่ง น่าจะฟื้นตัวได้ดีขึ้นตามกำลังซื้อที่ดีขึ้น อุตสาหกรรมยางรถยนต์ กลุ่มนี้พึ่งพากำลังซื้อจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกทั้งหลาย เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ คอมพิวเตอร์ส่วนประกอบ บรรจุภัณฑ์ หรือพลาสติก
ภาพรวมวัคซีนจะเริ่มฉีดมากขึ้นไตรมาส 2 สร้างความเชื่อมั่นได้ดีขึ้น กิจกรรมเศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง เป็นปัจจัยเชิงบวกเศรษฐกิจไทย ภาพรวมคาดการณ์เศรษฐกิจเติบโตที่ร้อยละ 2.6 ในปี 2564 ที่ยังไม่เด่นมากนัก เพราะยังขาดการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย แต่เมื่อเราฉีดวัคซีนได้เต็มที่ ต่างชาติกลับมามากขึ้น ก็น่าจะเป็นปัจจัยเชิงบวกให้เศรษฐกิจไทยสดใสมากขึ้น.-สำนักข่าวไทย