กรุงเทพฯ 1 ต.ค. – MICRO ซื้อขายวันแรก ราคาพุ่ง 46.86% อยู่ที่ 3.86 บาทต่อหุ้น ตั้งเป้าจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40
บริษัท ไมโครลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MICRO ดำเนินธุรกิจหลักเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสองเพื่อใช้ดำเนินงานเชิงพาณิชย์ และให้บริการสินเชื่อประเภทอื่นที่มีรถบรรทุกมือสองเป็นหลักประกัน ปัจจุบันมี 12 สาขา ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และมีเครือข่ายผู้ประกอบการเต๊นท์รถบรรทุกมือสองและนายหน้าจากทั่วประเทศกว่า 450 ราย มีทุนชำระแล้ว 935 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท มีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 2,477.75 ล้านบาท โดยทำการเปิดซื้อขายวันแรก (1 ต.ค.63) ราคาพุ่ง 46.86% อยู่ที่ 3.86 บาทต่อหุ้น
นายวินิตย์ ปิยะเมธาง กรรมการผู้จัดการ บมจ. ไมโครลิสซิ่ง (MICRO) เปิดเผยยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ยังโตต่อเนื่องแม้เผชิญวิกฤติโควิด-19 โดยครึ่งปีแรก 2563 อยู่ที่ 517 ล้านบาท โต 52% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนเติบโตได้ดีในกลุ่มรถบรรทุกเพื่อการขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภคคิดเป็นสัดส่วน 60% ของธุรกิจ โดยเฉพาะไตรมาส 2 ที่มีการล็อกดาวน์ โดยมีกำไรรวมอยู่ที่ 33 ล้านบาทจากไตรมาส 1 ที่มีกำไรรวม 29 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าปี 2563 มีพอร์ตสินเชื่อรวม 2,400-2,500 ล้านบาท หรือโต 23% จากปีก่อน
ขณะที่สัดส่วนตัวเลข NPL ปัจจุบันอยู่ที่ 2.7% ต่ำกว่าบริษัทเทียบเคียงซึ่งมี NPL อยู่ที่ 3.1-5.1% ทั้งนี้ในช่วงการระบาดของโควิด-19 และการล็อกดาวน์ไตรมาส 2 พบว่ามีลูกค้าขอพักชำระหนี้เพียง 40 ราย จากลูกค้าทั้งหมด 3,200 ราย จึงมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถควบคุมตัวเลข NPL ไม่ให้เกิด 3% ได้อย่างแน่นอน
สำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเสริมศักยภาพในการแข่งขันและขยายธุรกิจ โดยมีเป้าหมายรักษาอัตราการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อเพิ่มเป็น 5,000 ล้านบาท และขยายสาขาเพิ่มเป็น 20 สาขาภายในปี 2565 นอกจากนี้ มีแผนที่จะนำเงินจากการระดมทุนไปขยายธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และลงทุนในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อพัฒนาระบบการตรวจสอบและพิจารณาสินเชื่อผ่านทาง Mobile Application ซึ่งจะช่วยให้ระยะเวลาแจ้งผลการอนุมัติวงเงินสินเชื่อรวดเร็วขึ้น
MICRO มีผู้ถือหุ้น 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มครอบครัวคุณธรรมศักดิ์ อัชญาวัฒน์ ถือหุ้น 58.30% กลุ่มครอบครัวเติมคุนานนท์ ถือหุ้น 4.70% และกลุ่มครอบครัวจิโรธนภาส ถือหุ้น 4.50% บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามกฎหมายกำหนด ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ โดยขึ้นอยู่กับฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน แผนการลงทุนและขยายกิจการและความเหมาะสมอื่น ๆ ในอนาคต .-สำนักข่าวไทย