กรุงเทพฯ 26 ส.ค. – ตลาดหลักทรัพย์ฯ เรียกความเชื่อมั่นบนเวที Thailand Focus 2020 ชูหุ้นไทยแข็งแกร่งฟื้นตัวเร็ว ใช้เวลาเพียง 2 เดือน กลับมาแตะระดับใกล้ก่อนเกิดโควิด-19 มั่นใจบริษัทจดทะเบียนไทยยังเนื้อหอม ปรับตัวเก่งสู่ยุคนิวนอร์มอล
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวในงาน Thailand Focus 2020: Resiliency to Move Forward ผ่านระบบVirtual conference ว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ความกังวลเรื่องการระบาดของโควิด-19 และภาวะของเศรษฐกิจโลก ทำให้ตลาดทุนปั่นป่วน ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงอย่างรุนแรงเดือนมีนาคมและเมษายน อย่างไรก็ตาม ดัชนีหุ้นไทยฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากผู้ป่วยโควิดรายแรกที่ยืนยันในประเทศเมื่อวันที่ 31 มกราคม ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงถึง 37% และดีดกลับมาในปลายเดือนมิถุนายน และแตะระดับใกล้กับก่อนวิกฤติ ซึ่งจะเห็นได้ว่าดัชนีฟื้นตัวมาสู่ระดับก่อนเกิดปัญหาในเวลาเพียงไม่กี่เดือน การฟื้นตัวที่แข็งแกร่งที่สุดจะอยู่ในภาคผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค และอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร ซึ่งตอนนี้อยู่ในระดับที่สูงกว่าก่อนโควิด ภาคอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีดิจิทัล โลจิสติกส์ และบริการสุขภาพ ต่างก็มีศักยภาพสูงในโลกแห่งนิวนอร์มอลนี้
ขณะเดียวกันขณะนี้มีโอกาสมากมายในตลาดทุน IPO ใหม่ ๆ ที่เคยถูกเลื่อนออกไปในช่วงการระบาดรุนแรงโควิด-19 เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง หลังจากธุรกิจกำลังกลับเข้าสู่ภาวะปกติ มีการระดมทุนในตลาดสูงถึง 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสามารถเทียบเคียงได้กับระดับของหลายปีที่ผ่านมา และตอนนี้ก็ยังมีหลักทรัพย์ถึง 30 ตัวที่กำลังรอเปิดตัวอยู่
นอกจากนี้ ความกระตือรือร้นในการลงทุนในตลาดหุ้น นักลงทุนรายย่อยกลับมาลงทุนคึกคัก การเข้ามาซื้อขายในตลาดของนักลงทุนรายย่อยพุ่งขึ้น และหนุนให้มูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นมากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ต่อวัน และในช่วงครึ่งแรกของปีมีบัญชีซื้อขายรายย่อยเปิดใหม่เพิ่มขึ้นถึง 190,000 บัญชี โดยเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วทั้งปีถึง 34%
นายภากร กล่าวว่า บริษัทจดทะเบียนมีการปรับตัว 1.การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการใหม่เพื่อให้เหมาะกับยุคนิวนอร์มอล อี-คอมเมิร์ซ, การปรับปรุงมาตรฐานสุขอนามัย 2.มีการปรับการทำงานโดยใช้ดิจิทัล เชื่อมโยงลูกค้า และพนักงาน ให้บริการได้ครบถ้วน 3.มีการบริหารสภาพคล่องของกระแสเงินสด และร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ เพื่อให้มีการบริหาร และการจัดการมีประสิทธิภาพและทั่วถึง โดยเฉพาะในเอสเอ็มอี และสตาร์ทอัพ 4.เน้นการบริหารคน เพราะว่าพนักงานเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของบริษัทในโลก นิวนอร์มอล
นายภากร กล่าวว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยได้พัฒนาแนวทาง ESG และความยั่งยืนมากขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 6 ปีติดต่อกันแล้ว ทำให้ประเทศไทยมีบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในดัชนี Dow Jones Sustainability Indices มากที่สุดในเอเชีย และอาเซียน ซึ่งเป็นจุดขายของนักลงทุนไทยในอนาคต
“ผมเชื่อว่าในโลกอนาคตต้องมีความสมดุลกันระหว่างความเสี่ยงและการเจริญเติบโต ดังนั้น บริษัทที่มีการปรับตัวที่ดี มี ESG จะเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วโลก” นายภากร กล่าว .-สำนักข่าวไทย