กรุงเทพฯ 14 พ.ค.- สศก. เผย ดัชนีรายได้ชาวนาปลูกข้าวเปลือก ช่วง 4
เดือน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 50.44 หอมมะลิ
เพิ่มขึ้นมากสุดร้อยละ 61.55 ข้าวเจ้าสูงขึ้นร้อยละ
35.35 เดินหน้าเข็นมาตรการช่วยเหลือการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร
ปี 60/61
นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข
เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ดัชนีรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวเปลือก ในระยะ 4
เดือน ปี 2561 (ม.ค.-เม.ย.2561) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
(ม.ค.-เม.ย. 2560) ร้อยละ 50.44
เป็นผลมาจากดัชนีผลผลิตข้าวเปลือกปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.61
และดัชนีราคาข้าวเปลือกปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.18 หากแยกตามชนิดของพันธ์ข้าว รายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวเปลือกหอมมะลิ
เพิ่มขึ้นร้อยละ 61.55 ส่วนรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวเจ้า เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.35 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการของภาครัฐชะลอข้าวออกสู่ตลาดพร้อมกัน
และการบริหารจัดการสินค้าเกษตรตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต
2560/61
ทั้งด้านการผลิต การตลาดสินเชื่อชะลอการขาย
การทำนาแบบแปลงใหญ่ให้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปรับเปลี่ยนเป็นแปลงข้าวอินทรีย์ เชื่อมโยงตลาดกับการผลิตล่วงหน้า
ยกระดับมาตรฐานคุณภาพข้าว
ลดการปลูกข้าวรอบ 2 ดึง Supply ส่วนเกินออกในช่วงผลผลิตออกมาก
ผลักดันการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการแปรรูปข้าว และพัฒนาระบบ E-Agriculture
เพื่อแก้ไขปัญหาระยะยาว
ราคาข้าวที่เกษตรกรขายได้ช่วงเดือน มกราคม-พฤษภาคม 61
มีทิศทางที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปี 60 ข้าวเปลือกหอมมะลิ
เฉลี่ยตันละ 13,529 บาท สูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ราคาเฉลี่ยตันละ 9,207
บาท ส่วนราคาข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% เฉลี่ยตันละ 7,785 บาท สูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนราคาเฉลี่ยตันละ
7,514 บาท ทั้งนี้
ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิปรับตัวสูงขึ้น
เป็นผลมาจากเกษตรกรให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี 60/61 ประกอบกับบางพื้นที่ประสบปัญหาอุทกภัย
ส่งผลให้ผลผลิตข้าวหอมมะลิออกสู่ตลาดลดลง
ในขณะที่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศยังคงมีความต้องการข้าวหอมมะลิอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดเมื่อ 24 เมษายน 2561
รัฐบาลได้ออกมาตรการเกษตรประชารัฐเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
โดยใช้เงินทุนของ ธ.ก.ส. เพื่อเป็นทางเลือกให้กับพี่น้องเกษตรกร
ไม่เฉพาะเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเท่านั้น ภายใต้มาตรการนี้ มี 2 โครงการ ประกอบด้วย
1)
โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อลดต้นทุนปัจจัยการผลิตให้แก่เกษตรกร วงเงินสินเชื่อ
90,000 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส.
เป็นทางเลือกให้กับพี่น้องเกษตรกรดีกว่าให้ไปกู้หนี้นอกระบบมาลงทุนทำการเกษตร
เป็นการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่เกษตรกรเป้าหมาย 3 ล้านราย
วงเงินสินเชื่อรายละไม่เกิน 30,000 บาท ผ่านบัตรสินเชื่อเกษตรกร เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อปัจจัยการผลิต
หรือเครื่องจักรกลเกษตรขนาดเล็กที่มีมูลค่าไม่เกิน 10,000 บาท
2)
โครงการสนับสนุนการผลิตหรือจัดหาปุ๋ยสั่งตัดผ่านสถาบันเกษตรกร วงเงินสินเชื่อ 3,600 ล้านบาท
โดยใช้เงินทุนของ ธ.ก.ส. เป็นการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการผลิตหรือจัดหาปุ๋ยสั่งตัดเพื่อจำหน่ายให้กับสมาชิกของสถาบันเกษตรกรและเกษตรกรทั่วไป
เป้าหมายกลุ่มเกษตรกร และสหกรณ์การเกษตร 300 แห่ง (วงเงินกู้ ธ.ก.ส. จะวิเคราะห์ตามศักยภาพและความจำเป็น)
และกลุ่มวิสาหกิจชุมชน 200 แห่ง วงเงินกู้แห่งละไม่เกิน 3 ล้านบาท.-สำนักข่าวไทย