ก.คมนาคม 29 ก.ย. – “พิพัฒน์” กำชับคมนาคมระดมรับมือ “ไต้ฝุ่นบัวลอย” เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง 6 จังหวัดภาคอีสาน เร่งเตรียมพร้อมทุกมิติ ทั้ง “ทางบก-ทางน้ำ” เน้นย้ำป้องกันน้ำท่วม-ช่วยเหลือประชาชน ติดป้ายแจ้งเตือน ประชาสัมพันธ์ ตลอด 24 ชม.
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เปิดเผยถึงมาตรการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์พายุไต้ฝุ่น “บัวลอย” ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ ในช่วงระหว่างวันที่ 28-30 กันยายน 2568 โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดบึงกาฬ นครพนม อุบลราชธานี มุกดาหาร สกลนคร และอำนาจเจริญ ที่จะต้องเฝ้าระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน พื้นที่ลุ่ม และพื้นที่น้ำท่วมขัง
ทั้งนี้ ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะกรมทางหลวง (ทล.) กรมทางหลวงชนบท (ทช.) และกรมเจ้าท่า (จท.) ซึ่งได้กำหนดแผนและมาตรการหลัก ๆ ในการรับมือ ดังนี้ มาตรการทางบก รับมือเส้นทางที่มีความเสี่ยง การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จัดตั้งศูนย์อำนวยการ/ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ เพื่อติดตาม สั่งการ และแก้ไขสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง เตรียมความพร้อมเส้นทางและบุคลากร สั่งการให้หน่วยงานตรวจสอบช่องทางน้ำไหลให้ปราศจากสิ่งกีดขวาง โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก


นอกจากนี้พร้อมจัดเตรียมเครื่องมือ เครื่องจักรกลหนัก วัสดุอุปกรณ์ เช่น รถบรรทุก, รถยก, เครื่องสูบน้ำ, กระสอบทราย, สะพานเบลีย์ (เผื่อกรณีฉุกเฉิน) ให้พร้อมใช้งานในพื้นที่เสี่ยงและได้กำชับให้หน่วยงานเตรียมเจ้าหน้าที่ประจำการและชุดลาดตระเวนเพื่อออกตรวจสอบถนนและทางหลวงในพื้นที่เสี่ยงภัยตลอดเวลา โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นทางตัดผ่านน้ำ, คอสะพาน, พื้นที่ต่ำ, และพื้นที่ลาดเชิงเขาที่เสี่ยงต่อดินสไลด์
ส่วนมาตรการรับมือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เมื่อเกิดเหตุในพื้นที่เสี่ยง จะต้องดำเนินการติดตั้งป้ายเตือนและอำนวยความสะดวกด้านการจราจรอย่างเร่งด่วน โดยการติดตั้งป้ายเตือน “ถนนขาด”, “น้ำท่วม”, “ดินสไลด์” หรือ “ปิดการจราจร” ให้ชัดเจน พร้อมจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกการจราจรหรือจัดทำเส้นทางเลี่ยงหากจำเป็น รวมถึงเข้าแก้ไขสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือผู้ใช้เส้นทางอย่างรวดเร็วที่สุด เช่น การเคลื่อนย้ายสิ่งกีดขวาง, การซ่อมแซมถนนที่ชำรุด และการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย
ขณะที่มาตรการทางน้ำ เน้นความปลอดภัยชาวเรือ ในส่วนของกรมเจ้าท่า (จท.) ได้กำชับให้เฝ้าระวังและออกประกาศแจ้งเตือน กำชับให้ผู้ควบคุมเรือ เจ้าของเรือ หรือผู้ประกอบกิจการเดินเรือ ติดตามข่าวพยากรณ์อากาศและคลื่นลมจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างต่อเนื่อง และปฏิบัติตามคำเตือนอย่างเคร่งครัด หากมีคลื่นลมแรงเกินกว่าระดับที่กำหนด จะมีการประกาศ “เรือเล็กงดออกจากฝั่ง” หรือ “ห้ามเดินเรือ” โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพื่อยับยั้งเกิดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน
นายพิพัฒน์ ได้กำชับว่า หากพื้นที่ใดได้รับผลกระทบจากพายุ หน่วยงานจะต้องรีบประชาสัมพันธ์สถานการณ์เส้นทางและมาตรการช่วยเหลือให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่องผ่านช่องทาง สื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และในส่วนของผู้ใช้รถใช้ถนนที่ต้องการติดต่อและแจ้งเหตุ สามารถติดต่อได้ที่ สายด่วนกรมทางหลวง 1586, สายด่วนกรมทางหลวงชนบท 1146 และ สายด่วนกรมเจ้าท่า 1199 เพื่อความปลอดภัยและการเดินทางที่ต่อเนื่องที่สุด.-513-สำนักข่าวไทย