กรุงเทพฯ 22 ส.ค.-รมช.พาณิชย์ คาดแรงกดดันจากปัญหาภาษีสหรัฐฯ หนุนไทย-EU ตกลง FTA ได้เร็วขึ้น เร่งสรุปเจรจาภายในปี 2568 เร็วแต่มีคุณภาพ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกร ผู้ประกอบการ และประชาชนทุกกลุ่ม พร้อมรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วนมุ่งสู่การยกระดับมาตรฐานการค้าไทยสู่สากล
นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์แถลงผลการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย–สหภาพยุโรป (FTA ไทย–EU) ภายใต้งาน “Voice x Vision: Thai–EU FTA in Focus” (Stakeholder Consultation Workshop: Thai–EU FTA) โดยมีนายวีระพงษ์ ประภา ผู้แทนการค้าไทย นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และนายสุภกิจ เจริญกุล ผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (ITD) ร่วมด้วย
นายฉันทวิชญ์ กล่าวว่า หากสามารถปิดดีล FTA ไทย–EU ได้ภายในปี 2568 จะเป็นก้าวสำคัญของการค้าไทยในการลดอุปสรรคทางการค้า เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และเปิดประตูสู่ตลาดยุโรปอย่างยั่งยืน พร้อมกระจายผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมไปสู่ทุกภาคส่วนของสังคมไทย โดยเชื่อว่า สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศปัจจุบัน โดยเฉพาะปัญหาภาษีของสหรัฐฯ ถือเป็นแรงกดดันที่ทำให้ทั้งไทยและสหภาพยุโรปเร่งการเจรจาปิดดีลให้เร็วขึ้น เพื่อรักษาขีดความสามารถทางการค้าของทั้งสองฝ่าย อีกทั้งจะไม่ยอมเสียสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ปล่อยให้ไทยเสียเปรียบคู่แข่งในตลาดโลก
ขณะนี้การเจรจา FTA ไทย–EU มีความคืบหน้าเป็นอย่างดี โดยได้เจรจาแล้ว 6 รอบ และสามารถสรุปความตกลงได้แล้ว 7 บท จากทั้งหมด 24 บท หรือราว 1 ใน 3 ของทั้งหมด หากบรรลุผลสำเร็จ จะเป็นโอกาสสำคัญต่อการค้าและการลงทุนของไทย สร้างแต้มต่อให้ผู้ประกอบการและเกษตรกรไทยเข้าถึงตลาดสหภาพยุโรปที่มีขนาดใหญ่และกำลังซื้อสูง พร้อมดึงดูดการลงทุนจากธุรกิจยุโรปในอุตสาหกรรมอนาคต เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ พลังงานหมุนเวียน และยานยนต์ไฟฟ้า
FTA ฉบับนี้มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ และจะเป็น FTA มาตรฐานสูง ที่ครอบคลุมเศรษฐกิจโลกสมัยใหม่ อาทิ ประเด็นทรัพย์สินทางปัญญา มาตรฐานแรงงาน การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การค้าดิจิทัล ตลอดจนสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน กระทรวงพาณิชย์จึงได้มอบหมายให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และ ITD จัดเวทีดังกล่าว เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานรัฐ เกษตรกร ผู้ประกอบการ SMEs ภาคเอกชนรายใหญ่ ภาควิชาการ การเมือง และภาคประชาสังคม ร่วมแสดงความคิดเห็นและสะท้อนความสนใจในการเจรจา FTA ไทย–EU เพื่อกำหนดทิศทางการเจรจาอย่างมีเอกภาพและสมดุล
ในการจัดเวทีมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นใน 3 หัวข้อสำคัญ ได้แก่
1.การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ-เน้นการใช้ประโยชน์เชิงรุก ควบคู่กับรับฟังข้อกังวลเพื่อปรับท่าทีของไทย
2.ทรัพย์สินทางปัญญา-ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมยาและเกษตรกรรายย่อย โดยเตรียมจัดประชุมเชิงลึกเพิ่มเติม
3.พลังงานและวัตถุดิบ-ผลักดันเศรษฐกิจสีเขียวและพลังงานสะอาด พร้อมรักษาความมั่นคงด้านพลังงาน ราคาที่เหมาะสม และการแข่งขันที่โปร่งใส
นายฉันทวิชญ์ ย้ำว่า กระทรวงพาณิชย์จะนำข้อคิดเห็นและข้อห่วงใยเหล่านี้ไปประกอบการกำหนดท่าทีการเจรจา โดยรอบที่ 7 จะจัดขึ้นปลายเดือนกันยายนนี้ ณ กรุงบรัสเซลส์ สหภาพยุโรป ซึ่งไทยตั้งเป้าเดินหน้าเจรจาให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด แต่ยังคงยึดหลัก “ความเร็วที่มาพร้อมคุณภาพ” เพื่อให้ข้อตกลงเกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ประกอบการ เกษตรกร และประชาชนทุกกลุ่มอย่างแท้จริง.-512.-สำนักข่าวไทย