กรุงเทพฯ 2 ส.ค.-EXIM BANK ชี้อัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ 19% ผลสำเร็จการเจรจาของทีมไทยแลนด์ หนุนภาคส่งออกไทยปี 68 ขยายตัวดีขึ้น
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ความสำเร็จการเจรจาของทีมไทยแลนด์ ภายใต้การนำของนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการเจรจาลดอัตราภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐฯ ได้เหลือเพียง 19% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ นับเป็นปัจจัยสำคัญที่จะรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในตลาดโลก โดยอัตราภาษี 19% ที่ได้มานั้นใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งสำคัญ อาทิ เวียดนาม (20%) และเท่ากับมาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ (19%) ขณะที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้แม้จะได้อัตราภาษีต่ำกว่าไทย (15%) แต่ยังมีต้นทุนการผลิตรวมสูงกว่าไทย
นายบัณฑิต เปิดเผยต่อไปว่า อัตราภาษี 19% ที่ได้รับจากสหรัฐฯ จะส่งผลดีต่อประเทศไทยในด้านการดึงดูดการลงทุนของต่างชาติ ทำให้ไทยจะยังสามารถรักษาฐานการผลิตและการลงทุนไว้ได้ รวมทั้งการลงทุนโดยตรงจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรมใหม่ นอกจากนี้ ในด้านการค้าระหว่างประเทศ ไทยมีโอกาสช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากประเทศที่มีอัตราภาษีสูงกว่าไทย เช่น อินเดีย (25%) เม็กซิโก (25%) และยังอยู่ระหว่างการขยายการเจรจา และแคนาดา (35%)
นายบัณฑิต กล่าวว่า ข่าวดีที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลในเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและแนวโน้มการขยายตัวของภาคส่งออกไทยในปี 2568 ตามที่ EXIM BANK เคยคาดการณ์ไว้ที่ 0.5-1.5% โดยมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีกว่าที่คาด ประกอบกับทำให้ผู้ส่งออกคลายความกังวลลงได้มาก แม้จะยังต้องเผชิญแรงกดดันด้านราคา โดยเฉพาะกลุ่มที่มี Margin ต่ำและ SMEs ที่ยังมีความเปราะบางทางธุรกิจ ทั้งนี้ ประเทศไทยยังต้องใช้สิทธิถิ่นกำเนิดสินค้าให้ถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม 40% จากกรณีสินค้าผ่านประเทศที่สามหรือแอบอ้างถิ่นกำเนิดเพื่อประกอบและส่งผ่าน (Transshipped)
นายบัณฑิต กล่าวต่อไปว่า EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ได้ดำเนินการช่วยเหลือลูกค้า ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการค้าระหว่างประเทศสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด เพื่อบรรเทาผลกระทบจากนโยบายภาษีแบบตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่มีต่อผู้ประกอบการไทย อาทิ จัดตั้งคลินิกผู้ประกอบการ (EXIM Export Clinic) ให้คำปรึกษาแนะนำและช่วยเหลือผู้ส่งออกและนำเข้าที่ได้รับผลกระทบ โดยมีมาตรการเยียวยาผ่านการขยายระยะเวลาการชำระหนี้สูงสุด 365 วัน รวมถึงมาตรการเสริมสภาพคล่อง และปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขยายความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ขยายตลาดไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ
“ขอขอบคุณทีมไทยแลนด์ในความสำเร็จของการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไทย และยกระดับศักยภาพของประเทศไทยบนเวทีเศรษฐกิจโลก รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นแก่พันธมิตรทางการค้าและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในตลาดการค้าโลก ความร่วมมือในครั้งนี้ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและยาวนานระหว่างประเทศไทยและสหรัฐฯ ซึ่งได้ร่วมมือกันในหลากหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาโดยตลอด โดย EXIM BANK พร้อมทำงานร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชน เคียงข้างผู้ประกอบการไทย สนับสนุนทั้งด้านการเงินและเครื่องมือบริหารจัดการความเสี่ยงทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ทั้งในตลาดการค้าหลักและตลาดใหม่ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทยในทุกมิติ” นายบัณฑิต กล่าว.-515.-สำนักข่าวไทย