กรุงเทพฯ 25 พ.ค. – “ดร.อนุสรณ์” เผยโจทย์ใหม่สหรัฐขึ้นภาษีอียู 50% เพิ่มโอกาสและความเสี่ยงต่อส่งออกไทย คาดเงินบาทอาจแข็งแตะ 31-32 บาท
รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า หลังจากการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา กับ 27 ชาติสมาชิกอียูไม่มีความคืบหน้า โดย “ทรัมป์” ขู่เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากอียู 50% เริ่ม 1 มิถุนายน 68 อาจกระทบต่อระบบการค้าโลก และสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจของทั้งสหรัฐฯและอียูอย่างมาก โดยการค้าระหว่างสหรัฐฯและอียูมีมูลค่าสูงเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี มูลค่าการค้าในระดับนี้ ย่อมทำให้เกิดความเสี่ยงและโอกาสต่อการส่งออกสินค้าของไทย
หากอียูถูกเก็บภาษี 50% จากสหรัฐฯ และ อียูตอบโต้ ไทยอาจได้ส่วนแบ่งตลาดจากอียูเพิ่มในสินค้าบางประเภท ขณะที่สินค้าจากอียูมีราคาสูงขึ้นในตลาดสหรัฐฯ ไทยอาจเข้าไปแทนที่ได้ในบางกลุ่ม เช่น อาหารแปรรูป เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ มีโอกาสขยายตลาดในอียู หากอียูตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการลดพึ่งพาสินค้าสหรัฐฯ ไทยอาจเข้าไปแทนที่ในบางกลุ่มสินค้า เช่น สินค้าเกษตร อาหาร อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาจมีการย้ายฐานการผลิตเพิ่มขึ้น บริษัทอียูหรือต่างชาติอาจย้ายฐานการผลิตมายังไทยเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีสหรัฐฯ ไทยจึงควรเร่งทำข้อตกลงเอฟทีเอกับอียูเพื่อขยายตลาดเพิ่มขึ้น
ดร. อนุสรณ์ ระบุว่า สงครามการค้าขณะนี้ อาจทำให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า เพื่อหวังปรับสมดุลทางการค้าและลดการขาดดุลจำนวนมาก การทำให้ “ดอลลาร์” อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้สหรัฐฯมุ่งแข่งขันในมิติราคา รัฐบาลทรัมป์ มุ่งเปิดตลาด โดยตั้งกำแพงภาษีนำเข้ามาเป็นเครื่องมือ บีบให้ประเทศคู่ค้าทำตามต้องการ ปฏิบัติตามแนวคิด ”Mar-a-Lago Accord“ อาจไม่ง่ายเหมือน Plaza Accord ปี 1985 อาจทำให้ค่าเงินบาทแข็งแตะ 31-32 บาทต่อดอลลาร์ ขณะนี้เริ่มมีเงินทุนระยะสั้นของนักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทย ล้วนเป็นปัจจัยกดดันให้เงินบาทแข็งค่า แม้เศรษฐกิจไทยยังชะลอตัว.-515 สำนักข่าวไทย