กรุงเทพฯ 20 ม.ค. – สินค้าต่างชาติทะลักหั่นส่วนแบ่งตลาด ฉุดดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ กังวล การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเร่งขยายผลเจรจา FTA เพิ่มแต้มต่อการค้า เสนอรัฐจัดตั้ง War Room เพื่อเตรียมแนวทางรับมือกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนธันวาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 90.1 ปรับตัวลดลง จาก 91.4 ในเดือนพฤศจิกายน 2567 ซึ่งเป็นผลจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมชะลอลง จากการเร่งผลิตในเดือนก่อนหน้า ประกอบกับในเดือนธันวาคมมีวันทำงานน้อย และมีวันหยุดต่อเนื่องในช่วงเทศกาลปีใหม่ รวมทั้งสถานการณ์น้ำท่วมและสภาพอากาศแปรปรวนในพื้นที่ภาคใต้ ยังไม่คลี่คลาย ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอลง ต้นทุนราคาวัตถุดิบทางการเกษตรเพิ่มขึ้น จากสถานการณ์น้ำท่วม ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ ในช่วงเดือนก่อนหน้าส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร อีกทั้ง อุปสงค์ในประเทศชะลอลง สะท้อนจากยอดขายสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ในเดือนพฤศจิกายน 2567 หดตัว 31.34% นอกจากนี้ สถาบันการเงินยังระมัดระวังการอนุมัติสินเชื่อ สินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง หดตัวลงจากการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะที่อยู่อาศัย ขณะที่กลุ่มพลังงาน ชะลอลงตามคำสั่งซื้อที่ลดลง รวมไปถึง กำลังซื้อในประเทศโดยเฉพาะในส่วนภูมิภาคยังเปราะบาง จากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังบั่นทอนความสามารถในการใช้จ่ายของประชาชน และผู้ผลิตเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากสินค้าจีน เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดในประเทศและในภูมิภาคอาเซียน ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยลดลง
อย่างไรก็ตาม ในเดือนธันวาคมยังมีปัจจัยบวกจากผู้ประกอบการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าแฟชั่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน เป็นต้น รวมถึงผลจากการจัดทำ FTA ไทย – EFTA (สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป) ได้สำเร็จ ขณะที่ผู้ประกอบการมีการใช้สิทธิ์ FTA ในช่วง (มกราคม – กันยายน 67) คิดเป็น 85.58% เพิ่มขึ้น 2.11%YoY ส่งผลดีต่อภาคการส่งออก ประกอบกับ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวต่อเนื่องตามอุปสงค์ในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น และอยู่ในช่วงขาขึ้นของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อีกทั้ง การท่องเที่ยวก็มีการขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งนักท่องเที่ยวในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐ อาทิ การยกเว้นบัตร ตม.6 ในด่านทางบก การพัฒนาระบบการอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว (Ease of Traveling) บน Web Portal : Entry Thailand รวมถึงการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น
จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,372 ราย ครอบคลุม 46 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในเดือนธันวาคม 2567 พบว่าปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจในประเทศ 56.3% เศรษฐกิจโลก 52.4% สถานการณ์การเมืองในประเทศ 40.1% ส่วนปัจจัยที่กังวลลดลง ได้แก่ ราคาน้ำมัน 37.2% อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ 36.5% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 29.4%
ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 95.5 ปรับตัวลดลงจาก 96.7 ในเดือนพฤศจิกายน 2567 โดยปัจจัยที่ผู้ประกอบยังคงห่วงกังวล คือ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เพิ่มขึ้นในอัตราวันละ 7 – 55 บาท (เฉลี่ยร้อยละ 2.9) ส่งกระทบต่อต้นทุนแรงงานของผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs ความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าและการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ตามนโยบาย Trump 2.0 อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและการขยายตัวของเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนที่คาดว่าจะมาจากมาตรการลดหย่อนภาษี Easy E-Receipt 2.0 และโครงการแจกเงิน 10,000 บาทเฟส 2 ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป คาดว่าจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงไตรมาส 1/2568 และแนวโน้มการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลง
ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ
- เสนอให้ภาครัฐจัดตั้ง War Room เพื่อเตรียมแนวทางรับมือกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบกับภาคการส่งออกของไทยและรับมือกับผลกระทบทางอ้อม รวมทั้งสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการขยายตลาดกับสหรัฐฯ
- ให้ภาครัฐออกมาตรการเยียวยาสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา
- เสนอให้ภาครัฐออกมาตรการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรและอุปกรณ์ในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อลดต้นทุนการผลิต รวมถึงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในภาคอุตสาหกรรม
- เร่งขยายผลความสำเร็จจากการเจรจาความตกลงการค้าเสรี FTA ไทย – EFTA ไปสู่การเจรจาความตกลงการค้าเสรี FTA ไทย-สหภาพยุโรป เพื่อขยายโอกาสทางการค้า. -517-สำนักข่าวไทย