จาก “เคาะกระดาน” สู่ “คอมพิวเตอร์” พัฒนาการตลาดหุ้นไทย

กระดานหุ้น

4 ธ.ค. – จาก “เคาะกระดาน” สู่ “คอมพิวเตอร์” พัฒนาการตลาดหุ้นไทย กับ ‘บรรยง พงษ์พานิช’ และ ‘สมคิด จิรานันตรัตน์’


พิพิธภัณฑ์เรียนรู้การลงทุน INVESTORY ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดกิจกรรมเสวนา PLearn Talk&TOUR ตอน จาก “เคาะกระดาน” สู่ “คอมพิวเตอร์” เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา เนื่องในโอกาสตลาดหลักทรัพย์ฯ ก้าวสู่ปีที่ 50 โดยมีวิทยากร ได้แก่ นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร อดีตโบรกเกอร์ยุคเคาะกระดาน และนายสมคิด จิรานันตรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และอดีตประธาน Kasikorn Business Technology Group (KBTG) ซึ่งในสมัยนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายระบบงานภายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนผ่านการซื้อขายหลักทรัพย์สู่ระบบคอมพิวเตอร์

วิทยากรทั้ง 2 ท่านได้ร่วมกันเล่าเรื่องราวพัฒนาการระบบนิเวศของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตลอด 50 ปี ที่เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง จากบทบาทของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เป็นทั้งคนจัดการและผู้กำกับดูแล (regulator) ในตัวเอง จนมีองค์กรมาทำหน้าที่กำกับดูแล คือ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งจัดตั้งขึ้นภายหลังอีก 15 ปีถัดมาในปี 2535


จากยุคที่มีตลาดการเงินเพียง 2 ตลาด คือ ธนาคารพาณิชย์และตลาดพันธบัตร โดยพันธบัตรส่วนใหญ่ขายให้ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมี 16 แห่ง ที่ได้รับใบอนุญาต ธุรกรรมการเงินส่วนใหญ่จึงอยู่ในระบบธนาคารพาณิชย์

ในขณะที่ปี 2515 ประเทศไทยเริ่มมีแนวคิดที่ต้องการให้มีตลาดทุนในประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้น ซึ่งมาจากแนวคิดของกลุ่มเทคโนแครต (technocrat) ยุคนั้น อาทิ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ คุณบุญมา วงศ์สวรรค์ ดร.เสนาะ อูนากูล ดร.อำนวย วีรวรรณ ฯลฯ และได้มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญจากโคลอมเบียเป็นที่ปรึกษาเพื่อวางรากฐานตลาดหุ้น นำไปสู่การออกพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 และเปิดการซื้อขายครั้งแรกในวันที่ 30 เมษายน 2518 เพื่อทำหน้าที่เป็นตลาดรองที่มีบทบาทสำคัญในการรวบรวมและจัดสรรทรัพยากร ด้วยบทบาทของผู้เล่น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) กลุ่มเจ้าของเงินหรือนักลงทุน ซึ่งมีทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนบุคคล 2) บริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ 3) บริษัทหลักทรัพย์ หรือตัวกลาง 4) กลุ่มผู้จัดสรรและดำเนินการ หรือ facilitator และ 5) กลุ่มผู้กำกับดูแล หรือ regulator

“มีพัฒนาการดี แม้จะไม่เพอร์เฟกต์” มุมมองของนายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ต่อภาพรวมและผู้เล่นของตลาดหุ้นไทย


แต่พัฒนาการที่นับว่าโดดเด่นและประสบความสำเร็จคือ ‘ระบบซื้อขาย’ ซึ่งปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ใช้ระบบซื้อขายแบบ ‘คอมพิวเตอร์’ เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่มีฟังก์ชันหลากหลาย ทว่า น้อยคนนักจะรู้ลึกเบื้องหลังความเป็นมาและพัฒนาการดังกล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปลี่ยนผ่านจากระบบ ‘อัตโนมือ’ สู่ ‘อัตโนมัติ’ หรือที่เรียกว่า ‘เคาะกระดาน’ สู่ ‘คอมพิวเตอร์’ ได้อย่างไร

บรรยากาศ ‘เคาะกระดาน’ ความชุลมุนตลาดหุ้นยุคตั้งไข่
ยุคเริ่มแรกของการซื้อขายหลักทรัพย์หรือ ‘หุ้น’ ใช้ ‘ระบบเคาะกระดาน’ มีโบรกเกอร์ 30 ราย และในห้องค้าหลักทรัพย์หรือ Trading Floor มีเจ้าหน้าที่ได้ไม่เกิน 6 คนต่อโบรกเกอร์ รวมกับเจ้าหน้าที่ประจำตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ทำให้มีคนเกือบ 200 ที่อยู่ใน Trading Floor

“ตอนนั้นออฟฟิศตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่อาคารศูนย์การค้าสยาม เป็นห้องเทรดใหญ่ ต่อมาย้ายไปอาคารสินธร ในช่วงเริ่มต้นยังไม่มีเลขประจำโบรกเกอร์ ใช้จำกันเอง หลังจากนั้นก็มีเสื้อปักเบอร์ว่าใครเบอร์ไหนตั้งแต่ 1 ถึง 30…ของผมภัทรธนกิจ เบอร์ 6 ใครอยู่เบอร์ต้นจะได้เปรียบ” นายบรรยง เล่า

นายบรรยงสะท้อนภาพว่ายุคนั้นแต่ละโบรกเกอร์จะมีโทรศัพท์ 2 สายประจำห้องค้า ได้แก่ สายที่รับออเดอร์กับสายที่โทรคอนเฟิร์มกลับ และมีความชุลมุนวุ่นวายของเหล่าโบรกเกอร์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกว่า 200 ชีวิตที่ต้องวิ่งวุ่นและตะโกนโหวกเหวก แย่งกันไปเขียนซื้อขายหุ้นเป็นคิวแรกๆ พร้อมเคาะกระดานปิดดีลให้เสียงดัง ฉะนั้น คนตัวใหญ่ย่อมได้เปรียบ

พร้อมเล่าถึงการมีโอกาสได้เข้าทำงานในฐานะโบรกเกอร์เคาะกระดานในยุคนั้นว่า “ผมโชคดีได้งานทำ เพราะเรียนหนังสือจบ เกรด 2.03 หางานไม่ได้เกือบปี พอดีเขาต้องการคนเคาะกระดานใน Trading Floor เขาบอกคุณตัวใหญ่ เพราะผมเป็นนักรักบี้ทีมชาติด้วย พร้อมกระแทก ชนเก่ง” นายบรรยง กล่าว

ระบบ ‘เคาะกระดาน’ ทำกันอย่างไร
นายบรรยง กล่าวถึงรูปแบบการเคาะกระดานโดยยกตัวอย่างว่า “ถ้าหุ้นมีราคาปิดเมื่อวานคือ 80 บาท และราคาสูงสุดคือ 100 บาท วันถัดมาเมื่อเปิดตลาด โบรกเกอร์จะไปแย่งกันเขียนราคา 80 บาท เป็นคิวต้นๆ บนกระดาน เช่น บริษัทผมเป็นโบรกเกอร์เบอร์ 6 ก็เขียนเบอร์ 6 พร้อมราคาเสนอซื้อหุ้น 80 บาท (bid) บนกระดาน จากนั้น โบรกเกอร์คนถัดไปก็จะเขียนเบอร์ของบริษัทตัวเองต่อจากผม ไล่บรรทัดกันลงมาเรื่อยๆ นั่นหมายความว่า ถ้ามีคนเสนอขายที่ 80 บาท โบรกเกอร์เบอร์ 6 ก็จะได้ซื้อก่อน ในขณะเดียวกัน สมมุติโบรกเกอร์เบอร์ 27 เสนอขาย (offer) หุ้นที่ราคา 81 บาท ก็หมายความว่าถ้ามีคนต้องการซื้อที่ 81 บาท โบรกเกอร์เบอร์ 27 ก็จะได้ขายก่อน”

พร้อมอธิบายเพิ่มเติมว่า “ถ้าโบรกเกอร์เบอร์ 27 เกิดเปลี่ยนใจต้องการขายที่ 80 บาท ก็จะเคาะกระดานว่าขายที่ 80 บาท พร้อมเรียกเบอร์ 6 ผมก็จะวิ่งมาที่กระดาน เพื่อตกลงซื้อขายกับโบรกเกอร์เบอร์ 27 โดยจะสอบถามพูดคุยกันว่าจะซื้อเท่าไหร่ ขายเท่าไหร่ สมมติผมโบรกเกอร์เบอร์ 6 จะซื้อ 100 หุ้น ก็จะเขียนเลข 100 (ใต้เบอร์ 6 ) โบรกเกอร์เบอร์ 27 ก็จะขีดเบอร์ 6 ออก พร้อมเขียนว่า 100 หุ้น โบรกเกอร์เบอร์ 5 ซึ่งอยู่ลำดับถัดมาบอกซื้อ 2,000 หุ้น แต่ความจริง อยากซื้อ 3,000 หุ้น แต่กฎให้ซื้อได้ทีละ 2,000 หุ้น (20 เท่า) ก็จะเขียนว่า 2,000 ต่อ แล้วก็ไปเขียนเบอร์ 5 ของตัวเองต่อจากโบรกเกอร์ลำดับสุดท้ายที่ต้องการซื้อที่ราคา 80 บาทอีกครั้งหนึ่ง เพราะไม่เช่นนั้นการซื้อขายก็จะไม่ถึงโบรกเกอร์เบอร์อื่นที่อยู่ลำดับถัดไปสักที จากนั้น โบรกเกอร์เบอร์ 27 ก็จะขีดเบอร์ 5 ออก โบรกเกอร์เบอร์ถัดมาจากเบอร์ 5 ซื้อ 200 หุ้น โบรกเกอร์อีกเบอร์ซื้อ 800 หุ้น ก็จะซื้อขายกันแบบนี้ไล่เรียงกันลงไปจนครบจำนวนหุ้นที่คนเสนอขายที่ราคา 80 บาท จึงจะเริ่มซื้อขายกันที่ราคาใหม่”

บรรยากาศการซื้อขายที่เต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกจะเกิดขึ้นทุกเช้าของวันที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดทำการซื้อขาย และเมื่อปิดตลาดในเวลา 12.30 น. แล้ว เจ้าหน้าที่โบรกเกอร์จะต้องมานั่งทำเอกสาร เรียก slip ลงรายละเอียดสรุปการซื้อขาย และ initial การตกลงซื้อขายที่เกิดขึ้นในวันนั้นเพื่อเป็นหลักฐาน

ในยุคแรกๆ ของการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย นายบรรยงได้นิยามกล่าวขานตลาดหุ้นช่วงนั้นว่า ‘ยุคปาลูกดอก’ โดยอธิบายว่า “ต่อมา 1 – 2 ปี หรือช่วงปี 2520 หุ้นก็บูมมาก พอปี 2521 อัตราดอกเบี้ยไพร์มเรทอเมริกา 21% แต่หุ้นไทยก็บูม พุ่งพรวดขึ้นไป ผลตอบแทนเยอะ ทั้งที่เศรษฐกิจโลกไม่ดี เป็นยุคราชาเงินทุน หุ้นบูมขึ้นมาโดยไม่มีนักลงทุนสถาบันแม้แต่รายเดียว มีแต่นักเล่นหุ้นขาใหญ่-ขาเล็ก คนเฮเข้าไป ผมเรียกว่า ‘ยุคปาลูกดอก’ ซื้อหุ้นไหนเดี๋ยวมันก็ขึ้น” นายบรรยง กล่าว

แต่ปี 2522 จู่ๆ ตลาดหุ้นไทยก็เริ่มซบเซาอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายปี โดยปี 2526 เป็นปีที่มูลค่าการซื้อขายวันที่น้อยที่สุดเหลือ 3 ล้านบาทต่อวัน “บรรยากาศห้องค้าจากที่มีคนทำงาน 200 คน ใครลุกไปเคาะกระดานที คนก็ตบมือกัน รู้ไหมว่าว่างๆ เขาทำอะไร…ทายเบอร์แบงก์เล่น เพราะไม่มีอะไรทำ”

เปลี่ยนผ่าน ‘เคาะกระดาน’ สู่ ‘คอมพิวเตอร์’
ระบบเคาะกระดานดำเนินมาเรื่อยถึงช่วงปี 2533 ตลาดหลักทรัพย์ฯ เริ่มมีแนวคิดเปลี่ยนระบบซื้อขายให้ทันสมัยมากขึ้น โดยยุคนี้เป็นยุคที่ ดร.มารวย ผดุงสิทธิ์ เป็นกรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ เวลานั้น นายสมคิด ทำงานอยู่ที่ IBM บริษัทด้านเทคโนโลยีชั้นนำของโลก ได้รับคำเชิญชวนให้มาร่วมงานกับตลาดหลักทรัพย์ฯ

“ด้วยสภาพตอนนี้ไม่มีทางที่เราจะทำระบบซื้อขายด้วยคอมพิวเตอร์ได้ เพราะไม่มีเงินเดือนไปจ้างเด็ก ตอนนั้นเราจ้างประมาณ 4,000 บาท อาจารย์มารวยถามกลับ ท้องตลาดให้กันเท่าไร พอสู้กับเขาได้ไหม ผมบอกถ้าจะไปรับคนเก่งๆ จบโปรแกรมเมอร์ปริญญาตรี ต้อง 12,000 บาท…โห อาจารย์ก่ายหน้าผากเลย แต่สุดท้ายอาจารย์มารวย บอกให้ไปรับเลย”

นายสมคิดจึงตั้งเป้ารับนักศึกษาที่ใกล้จบ 30-40 คน โดยไปที่คณะวิศกรรมศาสตร์ คณะบัญชี ภาควิชาสถิติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเล่าให้อาจารย์ฟังว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังทำอะไรและความจำเป็นที่ต้องรับคนกลุ่มนี้

ทั้งหมดทำให้ระบบซื้อขายด้วยคอมพิวเตอร์เกิดขึ้นในปี 2534 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก้าวไปอีกขั้น แต่ความท้าทายไม่ใช่แค่เรื่องการเปลี่ยนระบบ หรือการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแล (สำนักงาน ก.ล.ต.) เท่านั้น หากต้องมอง ecosystem ให้ทุกส่วนพัฒนาไปพร้อมกัน

นายสมคิดเล่าว่า “เราคุยกันว่าจะทำเอง หรือเอาระบบที่ก้าวหน้าที่สุดในโลกมาใช้ ได้ข้อสรุปว่าไปเอามาจาก Midwest Stock Exchange ซึ่งปัจจุบันคือ Chicago Stock Exchange เขากำลังพัฒนา ข้อดีคือเขาทุ่มเทมาก ส่งนักคอมพิวเตอร์มือหนึ่งหลายคนเข้ามาช่วยเรา ระบบข้อมูลที่ใช้ตอน matching มันไม่ได้อยู่ใน disk storage แต่อยู่ใน main memory ซึ่งใช้เทคนิคขั้นสูง เราไม่ต้องลงทุนเครื่องขนาดใหญ่ แต่ได้ระบบที่มีประสิทธิภาพสูงได้”

ขณะที่ระบบศูนย์รับฝากใบหุ้น หรือ Scripless ในอดีตทุกคนพูดแต่เรื่องระบบซื้อขาย แต่ไม่มีเรื่องศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ งบประมาณก็ไม่มี จึงแก้ปัญหาโดยยืมคอมพิวเตอร์จากเพื่อนที่ดูแลด้านไอทีของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง และใช้เวลาพัฒนาระบบ 6 เดือนอย่างหามรุ่งหามค่ำ เพื่อนำใบหุ้นหลักล้านใบเข้าสู่ระบบ

นอกจากนี้ ในการพัฒนาระบบ PRS (Price Reporting System) ยังเจออุปสรรค โดยนายสมคิด เล่าอีกว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องการแก้ไขบางอย่าง แต่ไม่มีคนที่มีทักษะความรู้ในการแก้ปัญหานี้

“ปรากฏว่าช่วงปิดเทอมรับเด็กฝึกงานวิศวะจุฬาฯ 5 คน จ่ายเงินวันละ 70 บาทตามค่าแรงขั้นต่ำ เด็กพวกนี้สามารถทำสิ่งที่เราทำไม่ได้ภายใน 2 เดือน ทุกวันนี้ระบบนี้ได้ใช้งานจริงเป็นสิบๆ ปี และเขาเรียนต่อจนจบ PhD ด้านคอมพิวเตอร์ที่อเมริกา และตอนนี้ทำงานที่ซิลิคอนวัลเลย์…ผมจะบอกว่า คนที่เรารับมาทำงานเป็น world class จริงๆ” นายสมคิด กล่าว

“ในยุคเคาะกระดานจะมีการถ่ายทอดราคาหุ้นผ่านทางโทรทัศน์ โดยยุคแรกแสดงราคาหุ้นเป็นแนวตั้งสามบรรทัด ซึ่งไม่เหมือนกับต่างประเทศ ภายหลังทำเหมือนต่างประเทศ คือ เป็นวิ่งตามแนวนอน แต่วันแรกที่เปลี่ยนถูกด่าทั้งเมืองอยู่สามเดือน เพราะคนไม่ชิน“ นายสมคิด กล่าวเพิ่มเติม

ทุนต่างชาติ กดดันบริษัทไทยแข่งขันโลก
ในปี 2533 ยาวถึงยุค 90 ทุนต่างชาติเริ่มเข้ามามีนัยสำคัญ โดยนายบรรยง อธิบายว่า “ถ้าไม่มีนักลงทุนต่างประเทศ วิกฤติ ปี 2540 คงไม่ฟื้น เราใช้เงินฝรั่ง ผมใช้คำว่า quality money เป็นเงินที่มีประสบการณ์ ที่ require อย่างลึกว่าบริษัทไทยต้องมีประสิทธิภาพ แข่งขันกับโลกได้ เงินต่างชาติเป็นตัวกดดันให้บริษัทไทยต้องพัฒนาทั้งเทคโนโลยีและบรรษัทภิบาล (governance) ขึ้นอย่างมาก”

พร้อมทิ้งท้ายว่า ในฐานะคนที่ทำงานตลาดฯ มากว่า 40 ปี มีข้อแนะนำ 2 ข้อที่เคยฝากไว้กับ ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คนที่ 17 คือ

“หนึ่ง ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นส่วนสำคัญของตลาดทุน แต่ไม่ใช่ตลาดทุนทั้งหมด ตลาดทุนกว้างกว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ มาก ตลาดทุนคือขบวนการรวบรวมและจัดสรรทรัพยากรทางการเงิน นอกเหนือจากระบบธนาคาร รวมถึง venture capital และองคาพยพนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ถ้าเราให้ความสำคัญว่าต้องมีตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างเดียว ผมคิดว่าผิด”

สอง ตลาดทุนไทยไม่มี มีแต่ตลาดทุนโลก โลกเชื่อมกันหมดแล้ว เราจะมองประเทศไทยแบบแยกส่วนไม่ได้อีกต่อไป” นายบรรยง กล่าว .

มาร่วมย้อนรำลึกถึงประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของระบบซื้อขายตลาดหลักทรัพย์ไทยไปกับกิจกรรม Plearn Talk&TOUR ตอน จาก “เคาะกระดาน” สู่ “คอมพิวเตอร์”

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

วันแม่แห่งชาติ ขึ้นทางด่วนฟรี 𝟯 สายทาง

กทม. 9 ส.ค.-วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568 กทพ. แจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 𝟯 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 𝟮𝟭 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 𝟯𝟮 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 𝟭𝟬 ด่าน นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2568 จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท […]

“มาริษ” แจงโทรเคลียร์ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ปมถูกบิดเบือนคำพูด

สุรินทร์ 9 ส.ค. – “มาริษ” แจงโทรเคลียร์ “วิเวียน” รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ถูกบิดเบือนคำพูด ย้ำไม่ได้วิจารณ์เชิงลบ แต่ห่วงภาวะผู้นำทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบางสื่อบิดเบือนคำพูดของนายวิเวียน บาลากริชนิน (Vivian Balakrishnan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตนไม่สบายใจตั้งแต่ต้น และได้สะท้อนไปว่าการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้มักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะมีคนเอาคำพูดท่านไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีทางการเมือง นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้คุยโทรศัพท์กับนายวิเวียน เพื่อแสดงความห่วงกังวล เขายอมรับแล้วอนุญาตให้ช่วยชี้แจง อธิบายกับสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลัก เพราะข้อความที่แปลผิดได้แพร่สะพัดอยู่ในโซเชียลมีเดีย “นายวิเวียนไม่ได้มีความประสงค์ที่จะไปตั้งคำถามในเรื่องภาวะผู้นำของใครทั้งสิ้น เขาเพียงแต่พูดว่าอยากเห็นการทูตทำงานอย่างเต็มที่ เพราะการทูตจะแก้ไขปัญหาได้หากอยู่ในจุดที่สมดุล และเมื่อไรที่ภาวะผู้นำถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม มันจะมีผลกระทบให้การแก้ไขปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น” นายมาริษ กล่าว นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่นายวิเวียนพูด จะพยายามสื่อสารเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่าอยากเห็นผู้นำได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์.-319-สำนักข่าวไทย

ทบ.ชี้เหตุกำลังพล ร้อย.ร.111 เหยียบกับระเบิด สะท้อนกัมพูชาเริ่มใช้อาวุธก่อน

กรุงเทพฯ 9 ส.ค. – โฆษก ทบ. ชี้เหตุกำลังพล ร้อย.ร.111 เหยียบกับระเบิดขณะลาดตระเวนเส้นทาง พื้นที่รอยต่อบ้านโดนเอาว์-บ้านกฤษณา จ.ศรีสะเกษ บาดเจ็บ 3 นาย สะท้อนกัมพูชาเริ่มใช้อาวุธก่อน พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า วันที่ 9 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00 น. กองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 กรณีกำลังพลของหน่วยกองร้อยทหารราบที่ 111 เหยียบกับระเบิด ขณะทำการลาดตระเวนเส้นทาง เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่รอยต่อบ้านโดนเอาว์-บ้านกฤษณา จังหวัดศรีสะเกษ ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ได้แก่ 1. จ่าสิบเอก ธานี พาหา ตำแหน่งผู้บังคับหมู่ป้องกัน บาดเจ็บรุนแรง ข้อเท้าซ้ายท่อนล่างขาด2. พลทหาร ภาคภูมิ ไชยสุระ ตำแหน่งพลปืนเล็ก บาดเจ็บบริเวณแขนและด้านหลัง3. พลทหาร ธนันชัย ไกรวงค์ […]

จับผับรังสิต

สั่งเด้งผู้การปทุมธานี ขาดจากตำแหน่งเดิม เซ่นจับผับดังรังสิต

8 ส.ค. – โดนด้วย! สั่งเด้งผู้การปทุมธานี โดยให้ขาดจากตำแหน่งเดิม พร้อมพวกอีก 5 นาย เซ่นจับผับดังรังสิต พบฉี่ม่วงเพียบเฉียด 200 คน พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ลงนามในคำสั่งตำรวจภูธรภาค 1 ที่ 209/2568 เรื่อง ข้าราชการตำรวจช่วยราชการ ใจความว่า ด้วย ตำรวจภูธรภาค 1 มีคำสั่งที่ 208/2568 ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2568 แต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ในกรณีเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 เวลา 01.00 น. ชุดปฏิบัติการ พิเศษกรมการปกครอง ได้มีการจัดระเบียบสังคม โดยเปิดปฏิบัติการ (Zero Drug) โดยนำกำลังเข้าทำการ ตรวจสอบและจับกุมสถานบริการ ชื่อ ร้าน “Skin […]

ข่าวแนะนำ

นิด้าโพล เผยประชาชนไว้วางใจกองทัพ ปกป้องชาติมากถึง 75%

กทม. 10 ส.ค.-นิด้าโพล เผยประชาชนไว้วางใจกองทัพ ปกป้องผลประโยชน์ชาติ จากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา มากถึง 75% แนะเปิดเจรจาทางการทูตสองฝ่ายจริงจัง รวมทั้งเห็นว่าไม่ควรรับผู้ป่วยชาวกัมพูชาทุกคน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ไปต่อแบบไหนดี” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 4-5 สิงหาคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป เกี่ยวกับความไว้วางใจและความพอใจต่อบทบาทของภาคส่วนต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา พบว่า -กองทัพ ตัวอย่าง ร้อยละ 75.73 ระบุว่า ไว้วางใจมาก รองลงมา ร้อยละ 19.31 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ ร้อยละ 3.66 ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ ร้อยละ 1.07 ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย และร้อยละ 0.23 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ -กระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 41.76 […]

พบหลุมระเบิดที่กัมพูชายิงใส่ไทย 824 หลุม ใน 4 จังหวัดชายแดน

กทม. 10 ส.ค.-เพจกองทัพบก ทันกระแส โพสต์เจ้าหน้าที่ EOD เข้าเก็บกู้ระเบิด พบหลุมระเบิดที่เกิดจากฝีมือกัมพูชามากถึง 824 หลุม ใน 4 จังหวัดชายแดนไทย ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่พลเรือนและโรงพยาบาล เพจเฟซบุ๊ก “กองทัพบก ทันกระแส” โพสต์ว่า เจ้าหน้าที่ EOD เข้าพื้นที่เก็บกู้ระเบิด พบหลุมระเบิดที่เกิดจากฝีมือกัมพูชามากถึง 824 หลุม ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่พลเรือนและโรงพยาบาล ซึ่งสร้างความเสียหายและความหวาดกลัวให้ประชาชน ที่กำลังทยอยกลับเข้าพื้นที่เพื่อสำรวจความเสียหายของบ้านพักอาศัย ข้อมูลที่เพจโพสต์แสดงให้เห็นถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นใน 4 จังหวัดชายแดน ได้แก่ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ซึ่งเป็นผลจากการยิงอาวุธของกัมพูชาใส่เป้าหมายพลเรือน ทำให้ประชาชนในพื้นที่ต้องอพยพหนีภัยสงคราม และหากสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง ประชาชนเริ่มกลับเข้าสู่พื้นที่ตนเอง แต่ต้องเผชิญกับอันตรายจากระเบิดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ EOD ทำงานอย่างหนัก เพื่อเร่งเก็บกู้ระเบิดให้แล้วเสร็จ เพื่อให้ประชาชนได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยในบ้านของตนเองอีกครั้ง.-สำนักข่าวไทย

ชวนชมดวงไฟประดับรอบกรุงเทพฯ วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม

ทำเนียบ 10 ส.ค.-รัฐบาลเชิญชวนชมความงดงามของดวงไฟประดับรอบกรุงเทพฯ ในโอกาสเฉลิมพระเกียรติ วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง วันที่ 12 สิงหาคมของทุกปี (วันแม่แห่งชาติ) กรมทางหลวงชนบท (ทช.) และ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง ร่วมใจกัน ติดตั้งไฟประดับทั้ง 2 ข้างทาง เพื่อเฉลิมพระเกียรติและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ขอเชิญชวนประชาชนได้ร่วมสัมผัสความงดงามของดวงไฟประดับ เนื่องในโอกาสมหามงคลนี้ โดยการไฟฟ้านครหลวง ได้ดำเนินการติดตั้งไฟประดับจำนวนกว่า 2 ล้านดวง เพื่อประดับในสถานที่ต่าง ๆ ได้แก่ พระที่นั่งอัมพรสถาน วังศุโขทัย พระบรมมหาราชวัง บริเวณท้องสนามหลวง รอบพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน วังสระปทุม พระที่นั่งอนันตสมาคม ลานพระบรมรูปทรงม้า สนามเสือป่า ทำเนียบองคมนตรี กระทรวงมหาดไทย ถนนราชดำเนินใน ถนนราชดำเนินกลาง ถนนราชดำเนินนอก ถนนศรีอยุธยา ตั้งแต่วันนี้ – […]

ไทยฝนเพิ่มขึ้น ตกหนักบางแห่ง

กทม. 10 ส.ค.-กรมอุตุฯ รายงานไทยฝนเพิ่มขึ้น ตกหนักบางแห่งบริเวณภาคอีสาน ตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก คลื่นลมทะเลอันดามันตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรง ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง 60% ของพื้นที่ กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย เนื่องจากมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศลาวตอนบนและประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนจะมีกำลังค่อนข้างแรง โดยทะเลอันดามันตอนบน มีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1 – 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทย 06:00 น. วันนี้ ถึง 06:00 น. วันพรุ่งนี้ ภาคเหนือ […]