ดีเบต นโยบายเศรษฐกิจแก้ปัญหาปากท้องประชาชน

กรุงเทพฯ 3 พ.ค.-สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ผนึกมหาลัยหอการค้าไทย จัดเวทีดีเบตโค้งสุดท้ายเลือกตั้ง 66พรรคการเมืองเน้นนโยบายสร้างงานสร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ แก้ปัญหาปากท้องประชาชน ลดคอร์รัปชัน


สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดงานดีเบต “โค้งสุดท้าย เลือกตั้ง 66 ดีเบต…นโยบายเศรษฐกิจ กับ 9 พรรคการเมือง” แบ่งเป็น 3 รอบดีเบต ประกอบด้วยรอบที่ 1 ตอบประเด็นคำถามจากโพล , ดีเบตรอบที่ 2 ตอบประเด็นคำถามจากสังคม และดีเบตรอบที่ 3 สรุปภาพรวมนโยบายพรรคทางด้านเศรษฐกิจและการจัดลำดับความสำคัญในการนำมาใช้หากจัดตั้งรัฐบาลในอนาคต โดยงานจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถนนวิภาวดีรังสิต และสื่อโซเชียลมีเดีย สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย UTCC

โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้สำรวจความคิดเห็น(Poll) ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ส.ส.ปี 2566 เรื่อง “ความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมือง” จากผู้ทำแบบสอบถาม 2,000 ตัวอย่าง พบว่า การเพิ่มเงินในกระเป๋าที่ประชาชนให้ความสำคัญต่อนโยบาย คือ การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เช่น เพิ่มเป็น 450-600 บาทต่อวัน ,การขึ้นเงินเดือนปริญญาตรีเป็น 25,000 บาทต่อเดือน และการเพิ่มเบี้ยยังชีพให้ผู้สูงอายุ เช่น 1,000-5,000 บาทต่อเดือน เป็นต้น


นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการลดค่าครองชีพเป็นอะไรที่พรรคการเมืองและรัฐบาลเข้ามาดูแล ทุกกลุ่มตัวอย่างเน้นค่าครองชีพ ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำประปา ค่ารถไฟฟ้า และค่าก๊าซหุงต้ม โดยเฉพาะกลุ่มที่เลือกตั้งเป็นครั้งแรกให้ความสำคัญกับการลดค่าครองชีพมากที่สุด รวมทั้งทุกช่วงวัยจะให้ความสำคัญกับนโยบายตรวจสุขภาพฟรี การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและการสร้างรายได้ รวมถึงการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่เอสเอ็มอี โดยพบว่ากลุ่มตัวอย่างเลือกนโยบายของแต่ละพรรคที่คิดว่าเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ไม่ได้เน้นไปทางพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง

ขณะที่ในเวทีดีเบต นายวรวุฒิ  อุ่นใจ รองหัวหน้า พรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า สิ่งที่พรรคเน้นคือโอกาสนิยม ไม่ใช่ประชานิยม เพราะเสี่ยงมากที่นำเงินรัฐมาใช้ในช่วงที่ภาระหนี้ครัวเรือนสูง ภาระหนี้สาธารณะสูง โดยการกระตุ้นเศรษฐกิจมีหลายวิธี เช่น การลดการผูกขาดธุรกิจ แก้ปัญหาโครงสร้างประเทศ รื้อโครงสร้างพลังงาน สนับสนุนเอสเอ็มอี แก้ไขเรื่องติดแบล็กลิสต์เครดิตบูโร และไปสู่ปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งจะเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำก่อน และให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีสร้างเศรษฐกิจ เช่น ทำแพลตฟอร์มให้ผู้ประกอบการค้าขายออนไลน์สร้างมูลค่าเพิ่ม และภาครัฐต้องสนับสนุนเอกชนด้านนโยบาย ภาษี ประเทศไทยถึงมีอนาคต

“คำจำกัดความของพรรค “งานดี มีเงิน ของไม่แพง” จะมุ่งเน้นหารายได้ มีนโยบายเศรษฐกิจเฉดสี เพราะหากไม่มีเงินไม่มีรายได้ใหม่ๆเข้ามาประเทศ จะไม่มีสวัสดิการต่างๆให้ประชาชน จึงต้องหารายได้ แต่ต้องปรับรายได้ และให้เข้าถึงเงินทุน รวมทั้งแก้ปัญหาต่างๆ เหมือนกับการแก้ปัญหาพีเอ็ม2.5 ที่มีพันธบัตรป่าไม้ หรือการเปลี่ยนชาวไร่เปลี่ยนเป็นไม้ยืนต้น อยากให้เกษตรกรรายได้ดีขึ้น”นายวรวุฒิ กล่าว


นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาคณะกรรมการเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เห็นด้วยกับประชาชนที่ขอให้ช่วยค่าครองชีพสูง ค่าไฟฟ้าสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำ เพราะไทยต้องนำเข้าแก๊สจากต่างประเทศ พึ่งพาสินค้าต่างประเทศมากและต้องช่วยคนเอสเอ็มอีให้เข้าถึงทุนแต่ไม่ใช่สินเชื่อ ต้องทำผ่านกองทุนที่ต้องขึ้นมาไม่ใช่ให้เอสเอ็มอีเข้าถึงหนี้ ส่วนเรื่องการเปิดเผยข้อมูลเป็นสิ่งที่ดี จะช่วยได้มากในการลดปัญหาคอร์รัปชัน และไทยควรเข้ากับองค์การเพื่อความร่วมมือแลการพัฒนาทางเศราฐกิจ (OECD) เพราะมีข้อมูลต้องเปิดเผยมากมาย เช่น การจัดซื้อจัดจ้าง เป็นต้น

“สิ่งสำคัญคือระบบการศึกษา จะลดปัญหาเหลื่อมล้ำต่อเนื่อง และเรื่องสาธารณสุข 30 บาทรักษาทุกโรค จะใช้เทคโนโลยีอัปเกรดการรักษาประกันสุขภาพถ้วนหน้า จะไม่แออัดเหมือนเดิม แค่ใช้บัตรประชาชนใบเดียว ไปคลินิกเจาะเลือดไม่ต้องไปโรงพยาบาล และไปรับยาร้านขายยา ระหว่างนั้นทำเทเลเมดิซีน ติดต่อแพทย์ผ่านเทคโนโลยีได้เพื่อลดการแออัด”นายศุภวุฒิกล่าว

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง กรุงเทพมหานคร พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ผลโพลออกมาคนต้องการค่าแรงขั้นต่ำและเพิ่มเงินในกระเป๋ามากที่สุด แต่คำถามคือทำได้หรือไม่ ผู้ประกอบการพร้อมหรือไม่ แต่จะให้ขึ้นภาษีในตอนนี้หรือไม่ยังไม่ถึงขนาดนั้น โดยมองเรื่องการสร้างทักษะคน ผลักดันภาคเอกชนไปสู่ระดับโลก กฎระเบียบควรแก้ไข ในเรื่องภาษีไม่ต้องคิดในตอนนี้ แต่ต้องทำอย่างไรให้เอกชนตัวเบาที่สุด เมื่อนั้นเงินในกระเป๋าประชาชนจะเพิ่มขึ้น

“เรื่องการลดความเหลื่อมล้ำ รวยกระจุก จนกระจาย ทุกพรรคเข้าใจดี และกลายเป็นวาทกรรมไปแล้ว ประเทศไทยต้องมององค์รวม นายกฯคนใหม่ต้องเป็นเซลแมน ออกไปค้าขายหารายได้ให้ประเทศ ไทยมีสิ่งดีๆ เยอะ ต้องดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้ได้ ไทยพร้อมในทุกด้าน ไทยต้องปลดล็อก ไทยต้องอัพสกิล รีสกิล ประเทศไทยต้องส่งเสริมเศรษฐกิจเกี่ยวกับดิจิทัล”นายพุทธิพงษ์ กล่าว

นายเกียรติ สิทธีอมร คณะกรรมการเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ทุกข้อที่ประชาชนร้องขอทั้งค่าครองชีพราคาพลังงาน เป็นสิ่งที่พรรคฯทำทุกโจทย์ และในเรื่องการเข้าถึงประกันสุขภาพจะให้ตรวจสุขภาพฟรี ใช้บัตรประชาชนใบเดียวตรวจสุขภาพฟรี และเรียนฟรีถึงปริญญาตรี 12 สาขา มีบริการอินเทอร์เน็ตฟรีทุกหมู่บ้าน 1 ล้านจุด สนับสนุนชุมชนท่องเที่ยวเมืองรอง ให้ทุกพื้นที่จัดเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เช่น ข้าว มัน ปาล์ม ยาง รวมถึงไทยต้องลงทุนวิจัยพัฒนา หรือ R&D ปัจจุบันยังน้อยแค่ 1% ของจีดีพี แต่พรรคฯตั้งเป้าใน 4 ปี จะเพิ่มเป็น 3% ต่อจีดีพี โดยรัฐลงเงิน 70% ของงบพัฒนาวิจัยทั้งหมด

“ปัจจัยสำคัญตัวชี้ว่าเลือกใครคือนโยบายของแต่ละพรรคตอบโจทย์หรือไม่ สร้างภาระเพิ่มหรือไม่ โดบพรรคฯมองระยะยาว ไม่ทำอะไรที่หวือหวา การนำเอาเงินงบประมาณซื้อเสียงล่วงหน้า เป็นการสร้างภาระประชาชนรุ่นต่อไปประชาธิปัตย์ไม่ลดแลกแจกแถม การออกแบบนโยบายสอดคล้องกับปัญหาที่แท้จริง ปลดล็อกกฎหมายบางฉบับกระตุ้นเศรษฐกิจมีเป้าหมายชัดเจน เน้นโตด้วยความเก่งไม่ต้องการให้ประชาชนพึ่งพารัฐ ให้เก่งด้วยตนเองและรัฐสนับสนุน”นายเกียรติกล่าว

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้า พรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า ปัญหาของไทยตอนนี้คือเรื่องหนี้สิน ยิ่งช่วงเศรษฐกิจไม่ดีจากโควิดที่ผ่านมา หนี้ครัวเรือนสูงเป็นประวัติศาสตร์ ผู้ประกอบการเริ่มไม่ไหว ซึ่งพรรคฯมีนโยบายช่วยให้หลุดจากเครดิตบูโร ช่วยเกิดการจ้างงาน และแก้ปัญหาหนี้นอกระบบด้วยการร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยึดทรัพย์เจ้าหนี้นอกระบบ สิ่งสำคัญคือสร้างรายได้ให้เอสเอ็มอีแข็งแรง ผลักดันสินค้าไทยให้เข็มแข็ง และจูงใจให้เอสเอ็มอีเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น

“คอร์รัปชันเป็นปัญหาเรื้อรังที่ทำให้ประเทศเดินไม่ได้ ผู้นำต้องแก้ปัญหา ทุกคนต้องช่วยกันทำ การลดคอร์รัปชันคือเรื่องการใช้เทคโนโลยี อย่างดาต้าวัน เชื่อมข้อมูลเข้ามาหากัน จะทำให้ทุกคนเข้าถึงได้ และพรรคมีอุดมการณ์ชัดเจนต้องการประชาธิปไตย ต้องการแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่รัฐประหาร คนในพรรคมีประสบการณ์ การเมือง ธุรกิจ คนรุ่นใหม่ แก้ไขอุปสรรคต่างๆ พรรคฯจะเป็นทางเลือกใหม่ประชาชน”นายสุพันธุ์กล่าว

นายอุตตม สาวนายน ประธานคณะกรรมการจัดทำนโยบาย พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า โจทย์รัฐบาลหน้าที่ต้องทำคือเรื่อง สร้างสภาวะแวดล้อมอย่างไรสนับสนุนคนไทยมีโอกาส มีความหวังหารายได้เพิ่ม และช่วยบรรเทาค่าครองชีพอย่างไร ช่วยต้นทุนผู้ประกอบการตัวเล็ก เอสเอ็มอี รวมถึงรัฐบาลหน้าต้องวางภาพให้ชัด วางรากฐานสู่อนาคตยั่งยืน ครอบคลุม เท่าเทียมในทุกกลุ่ม และต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นจริงและทำทันที เพราะ 2 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยโตไม่เต็มศักยภาพ

“เรื่องค่าครองชีพ ต้นทุน ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ค่าก๊าซ ต้องปรับโครงสร้างนโยบายประเทศใหม่ ตอนนี้มีกลุ่มรื้อทั้ง ระบบต้องได้รับการแก้ไข ต้องทบทวนโครงสร้างภาษี และหนี้เป็นเรื่องใหญ่ ต้องแก้หนี้เบ็ดเสร็จ และเติมทุนใหม่ รวมทั้งเรื่องรัฐสวัสดิการ คนไทยต้องได้รับความคุ้มครองทางสังคมอย่างทั่วถึง ลงทุนให้ถูกจุดทุกกลุ่มวัย เติมทุน พัฒนาทักษะ”นายอุตตม กล่าว

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย รองหัวหน้า พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า นโยบายต่างๆ ที่ทุกพรรคออกไป รวมแล้วน่าจะ 3 ล้านล้านบาท แต่พรรคไม่เน้นนโยบายประชานิยม แต่เน้นการสร้างรายได้เศรษฐกิจฐานราก เห็นได้จากช่วงโควิดธุรกิจรายเล็กฐานรากเอาเงินออมมาใช้ และรายได้ลดลง แถมมีปัญหาชำระหนี้ ซึ่งการแก้ปัญหาไม่ใช่แจกเงิน แต่ต้องสร้างงานสร้างอาชีพ มีรายได้ที่ยั่งยืน มีความสามารถชำระหนี้ได้ การเพิ่มอาชีพให้คนอาจร่วมมหาวิทยาลัยต่างๆ ฝึกอบรม ให้งบประมาณดูแลคนสูงวัย จ้างซ่อมแซมอุปกรณ์ไฟฟ้า ซ่อมคอมพิวเตอร์ ค้าขายออนไลน์ คำนวณงบประมาณที่ใช้หาก 20 ล้านคนใช้เงินแค่ 20,000 ล้านบาท

ขณะที่เรื่องเร่งด่วน จะทำอย่าไงไรให้จีดีพีเพิ่มขึ้น โดยต้องใช้เทคโนโลยีหารายได้จากต่างประเทศ เช่นการทำแพลตฟอร์ม เหมือนกับแพลตฟอร์มของต่างประเทศที่เข้ามาหารายได้ในไทย และไทยต้องเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ที่สำคัญต้องมีหลัก Wow Thailand มาจาก เวลธ์ที่ดี สร้างโอกาสคนไทย และสร้างสวัสดิการให้ทุกคน นโยบายเน้นการดูแลเศรษฐกิจฐานรากผู้ด้วยโอกาส ไม่ใช่ลดแลกแจกแถม พยายามให้สร้างานสร้างอาชีพ ให้ผู้ด้อยโอกาส ให้เงินอุดหนุน ผู้พิการ คนสูงวัย อยากสร้างประเทศไทยที่ยั่งยืนเพื่อลูกหลานไทย ต้องการทำประเทศให้กรีน มีธรรมาภิบาล ไม่มีทุจริตคอรัปชั่น “เรารับฟัง ทำจริง”นายชาติชายกล่าว

น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้า พรรคก้าวไกล กล่าวว่า สรุปผลโพลเรื่องเร่งด่วนคือเรื่องรายได้ ลดค่าใช้จ่าย และเรื่องความมั่นคง พรรคก้าวไกลเห็นไม่ต่างกับประชาชน ได้มีนโยบายเพิ่มรายได้ให้ประชาชน เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ หัวใจคือ ขึ้นอัตโนมัติทุกปี และยังมีแก้ปัญหาโครงสร้างพลังงาน รวมถึงนโยบายสวัสดิการตั้งแต่วันแรกที่ลืมตา จนวันสุดท้ายของชีวิต ขณะเดียวกันต้องปรับปรุงงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ ลดโครงการไม่จำเป็นฟุ่มเฟือย จัดซื้อจัดจ้างโปร่งใส ปรับปรุงจัดเก็บภาษีจากปัจจุบันมีรูรั่วมาก ไม่สามารถจัดเก็บได้ตามเป้าหมาย และให้เศรษฐีคนมีเงินยอมจ่ายภาษี จากที่บริจาคการกุศลมามาก เช่น ภาษีที่ดินรวมแปลง ภาษีมั่งคั่ง ซึ่งจะนำไปใช้สวัสดิการได้อย่างคุ้มค่า

“หลายครั้งมีโครงการดีแต่ประชาชนข้องใจเกิดทุจริตหรือไม่ ในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเรื่องแรกต้องเปิดเผยข้อมูลกับประชาชน และอาจมีแรงจูงใจถ้ามีการฮั้วะแล้วมีคนใดคนหนึ่ง  ก่อน จะได้รับการลดหย่อนโทษ หากสารภาพจะให้พ้นผิดได้ จะทำให้การจ่ายส่วยหมดไป และยังทำให้เงินงบประมาณถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างคุ้มค่า ไม่ใช่แค่เพียงเลือกคนที่ดี แต่ต้องมีระบบที่ดีด้วย”น.ส.ศิริกัญญากล่าว.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“พี สะเดิด” เปิดใจเป็นมะเร็งเต้านมนานเกือบ 20 ปี แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย

กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – “พี สะเดิด” เจ้าของเพลงฮิต “จี่หอย” เผยเป็นมะเร็งเต้านมมานานเกือบ 20 ปี ตัดสินใจหยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งต่อสู้กับโรค จนค่ามะเร็งดีขึ้น แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย “พี สะเดิด” นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อายุ 46 ปี เปิดใจว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มาเกือบ 20 ปีแล้ว รักษาโรคนี้โดยที่ไม่บอกใครเลย เพราะกลัวครอบครัวเป็นห่วง ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้าอก และพบว่าก้อนเนื้อมันขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว คิดว่าเป็นเพราะไม่ดูแลตัวเอง ทำงานหนัก กิน-นอนไม่เป็นเวลา แต่เพราะเป็นคนที่ตรวจสุขภาพตลอดทุก 6 เดือน พอเช็กดูเลยรู้ว่ามีเชื้อมะเร็งเต้านม หมอบอกว่าโอกาสน้อยที่จะเห็นผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านม จะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้าน พี สะเดิด บอกว่าตอนแรกก็กลัว เลยตัดสินใจหันหน้าเข้าทางธรรม และปรับปรุงตัวเองควบคู่กันไป กินของที่มีประโยชน์ หยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเราแข็งแกร่งต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเอง จนตอนนี้อยู่ทุกระยะค่ามะเร็งดีขึ้น ค่อยๆ ลดลงมา จนเหลือ 0 […]

“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ

รัฐสภา 13 ส.ค.-“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ ทั้งที่ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาแล้ว ด้าน “อนุสรณ์” แจงยัน กมธ.ไม่ได้ตีเช็คเปล่า แต่ตรวจเช็กความพร้อมให้ทหาร การอภิปรายมาตรา 8 กระทรวงกลาโหม วงเงิน 9.51 หมื่นล้านบาท นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า ปีนี้ตัดงบกระทรวงกลาโหมยาก เมื่อถามหารายละเอียดจะมีคนพูดว่าปล่อยไปเถอะ ตอนนี้มีสถานการณ์ชายแดน ซึ่งตนเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณ เพราะเป็นห่วงทหารหน้างานเช่นกัน เลยต้องดูงบประมาณว่าใช้ถูกจุดหรือไม่ นายชยพล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนเห็นงบเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์ คิดว่าเป็นอุปกรณ์ผ่าตัดแต่กลายเป็นว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับม้า ตนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูว่าใส่ใจทหารมากแค่ไหน แต่กลับไม่พบอุปกรณ์สำหรับขันชะเนาะห้ามเลือดที่ใช้ได้ด้วยมือข้างเดียว มีแค่สายยางไส้ไก่ ถ้าอยู่คนเดียวจะทำอย่างไร อยากถามว่าเราใส่ใจบุคลากรของเราจริงหรือไม่ และที่ข้องใจคือเราตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา มีการเรียกทูตไทยประจำพนมเปญกลับ แต่ปรากฏว่ากองทัพบกสั่งอุปกรณ์ฟิตเนสไปเติมที่บ้านผู้ช่วยทูตทหารอยู่เลย จะมีใครได้อยู่ใช้หรือไม่ “นี่เป็นเหตุผลว่าแม้อยู่ในความขัดแย้งแต่ต้องตรวจสอบกองทัพอย่างเข้มข้น การที่รัฐบาลเซ็นเช็คเปล่าให้กองทัพโดยไม่ตรวจสอบ คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ คนที่ชอบออกมาพูดเชียร์ทหารอยากให้คิดไว้ด้วยว่า หากรักชีวิตทหารจริง ก็อยากให้ฟังทหารชายแดนว่าเขาลำบากอย่างไร การทำงานของนายพลสะท้อนความต้องการคนเหล่านั้นจริงหรือไม่” ด้าน นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า […]

“สืบพงษ์” ขึ้นศาลสืบพยานนัดแรก กรณียื่นฟ้องรักษาการอธิบดี ม.รามฯ ข้อหาเบิกความเท็จ

ศาลอาญา 13 ส.ค. – ศาลนัดสืบพยาน “สืบพงษ์” ยื่นฟ้อง รักษาการ อธ.รามคำแหง พร้อมพวก ข้อหาเบิกความเท็จถูกยื่นถอดถอนเมื่อปี 65 ชี้ “ฮุนเซน” ทิ้งใบปริญญาลงโถส้วมเป็นการไม่ให้เกียรติมหาวิทยาลัย วอนยุติพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานที่ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาการอธิการบดี ม.รามคำแหง กับพวกรวม 2 คน ในความผิดฐาน “ฟ้องเท็จ / เบิกความเท็จ นายสืบพงษ์ เปิดเผยว่า ศาลนัดสืบพยานนัดแรกในคดีที่ตนได้ฟ้องผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหงฟ้องตนที่ศาลแขวงพระนครเหนือโดยกล่าวหาตนว่ากระทำตนเป็นเจ้าพนักงานทั้ง ๆ ที่ไม่มีอำนาจ จากนั้นทางศาลได้ยกฟ้องคดีดังกล่าว ซึ่งได้ดำเนินคดีที่ศาลอาญาในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ โดยวันนี้ตนเองเป็นพยานปากแรกที่ขึ้นเบิกความในวันนี้และจะมีพยานทั้งหมด 5 ปาก สืบพยานในวันนี้และวันที่ 14 ส.ค. ส่วนประเด็นที่ถูกถอดถอนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2565 นั้น มีการถอดถอนตนเองทั้งหมด 2 ครั้ง หลังจากที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้ […]

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

ข่าวแนะนำ

EOD ลุยค้นหาจรวด หลังชาวบ้านแจ้งเจอต่อเนื่อง

13 ส.ค. – EOD ลุยค้นหา-เก็บกู้จรวดในพื้นที่บุรีรัมย์-ศรีสะเกษ หลังชาวบ้านแจ้งเจอต่อเนื่อง ขณะที่คณะ ICRC ลงพื้นที่เก็บข้อมูลผลกระทบเหตุปะทะ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ส่วนสถานการณ์ในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ วันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุด EOD ลงพื้นที่ตรวจสอบไร่ยางพาราของชาวบ้านและอีกหลายจุด ในเขต ต.สายตะกู อ.บ้านกรวด หลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบหลุมต้องสงสัยอยู่ในที่ดินของตัวเอง จากการตรวจสอบพบสะเก็ดระเบิด และอีกหลายจุดพบเป็นหลุมคล้ายหลุมจรวด BM21 ที่ตกลงมา เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และต้องใช้ความระมัดระวัง ขณะที่ชาวบ้านที่เพิ่งเข้ามาอยู่บ้าน ยังไม่มั่นใจกับสถานการณ์ โดยเฉพาะหลังมีทหารเหยียบทุ่นระเบิดเป็นรายที่ 5 EOD เร่งตรวจสอบ–กู้ระเบิดกระสุนปืนใหญ่ชายแดน ส่วนที่ศรีสะเกษเจ้าหน้าที่ EOD สนธิกำลัง ลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีพบกระสุนปืนใหญ่ตกในเขต ต.เสาธงชัย และ ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดน เบื้องต้นพบ 7 จุด บริเวณสวนยางพาราและใกล้เขตชุมชน โดยส่วนใหญ่เป็นลูกกระสุนปืนใหญ่ขนาด 100 มิลลิเมตร เจ้าหน้าที่ได้ทำการขุดตรวจพิสูจน์ พบว่าหลายลูกระเบิดไปแล้ว เหลือเพียงเศษซาก และยังพบอีก 1 จุดในพื้น […]

อึ้งพระอยู่กับสีกา เปิดบนรถเจอกองทิชชูใช้แล้ว

สกลนคร 13 ส.ค. – วงการผ้าเหลืองฉาวอีก ตำรวจตรวจรถเก๋งคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง พบพระกับสีกาอยู่ด้วยกัน 2 ต่อ 2 คุยไปคุยมา สุดท้ายไปจบที่ลาสิกขา หลังตำรวจ สภ.ขมิ้น จ.สกลนคร ได้รับแจ้งจากชาวบ้าน พบรถเก๋งต้องสงสัยสีดำ จอดผิดปกติบริเวณ ริมคลอง บ.พาน ต.ขมิ้น อ.เมือง จ.สกลนคร เมื่อเข้าไปตรวจสอบ ตำรวจต้องอึ้ง เมื่อเจอพระอยู่กับสีกา 2 ต่อ 2 ในรถ ต่อมาทราบว่า คือ พระชัยณรงค์ อายุ 53 ปี สังกัด วัดแห่งหนึ่ง อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ จึงเชิญตัวไปยังวัดใกล้เคียงที่เกิดเหตุ เพื่อทำพิธีลาสิกขา และนำตัวมาตรวจปัสสาวะ ผลไม่พบสารเสพติด แต่รถที่พระเเละสีกาดังกล่าวอยู่ด้วยกัน พบเป็นรถที่ถูกสวมทะเบียน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตรวจยึดไว้เพื่อตรวจสอบ คืบหน้าล่าสุด ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยัง สภ.ขมิ้น พบรถเก๋งคันดังกล่าวจอดอยู่บริเวณสถานที่เก็บของกลาง กระจกด้านข้างและด้านหลังติดฟิล์มดำสนิท แต่ด้านหน้าฟิล์มใสมองเห็นถึงภายใน ที่เบาะนั่งข้างคนขับ ยังพบกองจีวรของทิดชัยณรงค์ […]

สถานการณ์ชายแดนสุ่มเสี่ยงปะทะรอบ 2

สุรินทร์ 13 ส.ค. – กระแสข่าวจากหลายฝ่ายยืนยันตรงกันว่าระยะ 2 วันนี้ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จะเพิ่มความตึงเครียด สุ่มเสี่ยงที่จะมีการปะทะรอบ 2 ฝ่ายปกครอง จ.สุรินทร์ จึงแจ้งเตือนไปยังกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ให้ลูกบ้านเตรียมพร้อมรองรับเหตุฉุกเฉิน ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจบรรยากาศ ในหมู่บ้านตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ใกล้กลุ่มปราสาทตาเมือน พบว่า หลายครอบครัวเพิ่งกลับเข้าพื้นที่ 1-2 วัน หลังอพยพหนีภัยการสู้รบในห้วงวันที่ 24 – 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ได้รับข่าวไม่สู้ดีนัก เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง แจ้งให้เตรียมความพร้อม เก็บสัมภาระไว้เพื่อรองรับสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงการปะทะ รอบ 2 ซึ่งอาจรุนแรงมากกว่ารอบแรก ทำให้ชาวบ้านหลายคนต่างตื่นตระหนก ต้องการอพยพไปอยู่นอกพื้นที่ แต่เมื่อผู้นำหมู่บ้านทำความเข้าใจ ก็คลายความกังวลลงบ้าง โดยสื่อสารข้อความจากนายอำเภอพนมดงรักว่า รอให้มีเสียงปะทะกันเกิดขึ้นก่อน จึงให้อพยพ ซึ่งชาวบ้านก็เชื่อฟัง เพราะส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าจะอพยพไปที่ไหน เพราะยังไม่มีการเปิดศูนย์พักพิงชั่วคราว ขณะที่หญิงคนหนึ่งติดอยู่ในพื้นที่สู้รบ ใกล้กลุ่มปราสาทตาเมือนตลอดห้าวัน เพราะเป็นห่วงวัวที่เลี้ยงไว้ จึงอาศัยอยู่ในกระต๊อบพร้อมญาติรวมสี่คน และประเมินสถานการณ์ว่า น่าจะปลอดภัย เพราะวิถีกระสุนไปตกไกลกว่า จึงได้ยินเสียงปะทะอย่างชัดเจน […]

คุมตัว “ลุงพล” ส่งเรือนจำ ระหว่างรอคำสั่งขอประกันตัว

มุกดาหาร 13 ส.ค.- คุมตัว “ลุงพล” ส่งเรือนจำมุกดาหาร ระหว่างรอคำสั่งขอประกันตัวจากศาลฎีกา หลังศาลอุทธรณ์ตัดสินจำคุก 26 ปี คดีน้องชมพู่ จากกรณีศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาเพิ่มโทษให้จำคุก “ลุงพล” 26 ปี ฐานเจตนาฆ่าเด็ก พรากผู้เยาว์ และอำพรางศพ ขณะที่ “ป้าแต๋น” พิพากษายืนยกฟ้อง ในคดีฆาตกรรม น้องชมพู่ ทั้งนี้ภายหลัง ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ “ลุงพล” ได้ยื่นขอประกันตัว โดยศาลจังหวัดมุกดาหาร เสนอไปยังศาลฎีกา ล่าสุด ช่วงเย็นที่ผ่านมา ศาลฎีกายังไม่มีคำตอบลงมาว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่ ทำให้ “ลุงพล” ถูกคุมตัวไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดมุกดาหาร ระหว่างรอคำสั่งขอประกันตัวจากศาลฎีกา ย้อนไปคดีนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2563 น้องชมพู่ วัย 3 ขวบ หายไปจากบ้านพักภาย ในหมู่บ้านกกกอก ทำให้ชาวบ้านมากกว่า 200 ชีวิต รวมถึง ตัวลุงพล ช่วยกันออกตามหา […]