ทำเนียบฯ 28 มี.ค.-ครม.ยอมรับความเสี่ยงทางการคลังปี 65 หนี้สาธารณะ ร้อยละ 60.41 ต่อ GDP หลังเผชิญโควิด-19 หลายกองทุนทรัพย์สินลดลง
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี ว่า ความเสี่ยงทางการคลัง ปีงบประมาณ 2565 ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาล จำนวน 2.53 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 6.57 จากปีก่อน มาจากกลุ่มรายได้ที่สัมพันธ์กับเศรษฐกิจสูง กลุ่มรายได้ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานและกลุ่มรายได้จากการค้าระหว่างประเทศขยายตัวจากปีก่อน ยอมรับว่า ช่วงโควิด-19 มีความเสี่ยงด้านรายได้ในระดับต่ำ สำหรับวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 จำนวน 3.1 ล้านล้านบาท ลดลงร้อยละ 5.66 จากปีก่อน
ระดับเงินคงคลัง ณ สิ้นปีงบประมาณ 2565 มีจำนวน 624,019 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน มีการเกินดุลเงินสด ระดับเงินคงคลังปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจาก ณ สิ้นปีงบประมาณ 2562 สะท้อนถึงสภาพคล่องการเบิกจ่ายงบประมาณยังคงอยู่ในระดับบริหารจัดการได้ สำหรับแนวโน้มความเสี่ยงด้านหนี้สาธารณะ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2565 มีจำนวน 10,373,937 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 60.41 ต่อ GDP เพิ่มขึ้นจากการดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัวในช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมา
สำหรับความเสี่ยงทางการคลัง จากการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐ 1. เงินกองทุนประกันสังคมปรับลดลงจากปีก่อน จากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ลดลง และการลดอัตราการจ่ายเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา 33, 39 และ 40 รวมทั้งการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ส่งผลให้จำนวนผู้ประกันตนวัยแรงงานเข้าสู่ระบบลดลงด้วย 2. การปรับเพิ่มอัตราเงินสมทบของรัฐบาลเข้ากองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และการเริ่มจ่ายเงินบำนาญชราภาพให้กับสมาชิกในปี 2566 อาจทำให้รัฐบาลมีความเสี่ยงในการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยส่วนต่างผลตอบแทน หาก กอช.ไม่สามารถบรรลุอัตราผลตอบแทนตามที่รับประกันไว้
3. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสุทธิติดลบจำนวนมาก จากราคาพลังงานโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้กองทุนฯ ต้องจ่ายเงินอุดหนุนชดเชยราคาก๊าซ LPG และราคาขายปลีกดีเซล เพื่อพยุงราคาในประเทศไม่ให้สูงเกินไป ช่วงต้นปี 2566 สถานการณ์ราคาพลังงานเริ่มปรับตัวดีขึ้น คาดว่าฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะคลี่คลายลง และกองทุนฯ จะสามารถชำระหนี้คืนได้ โดยไม่เป็นภาระงบประมาณของรัฐบาลในอนาคต
4. ผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจในปีบัญชี 2565 ปรับตัวดีขึ้น แต่ยังคงต่ำกว่าก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 เงินนำส่งรายได้แผ่นดินของรัฐวิสาหกิจในภาพรวมลดลง สาเหตุสำคัญมาจากรัฐวิสาหกิจกลุ่มไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการตรึงค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการและประชาชน
5. ฐานะการเงินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ภาพรวมยังคงอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ ครม.เป็นห่วง ควรติดตามระดับหนี้ของ ธ.ก.ส. ต้องใช้มาตรการพักชำระหนี้เกษตรกรที่สิ้นสุดลงในปี 2565 6. ฐานะทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ในภาพรวมอยู่ในระดับแข็งแกร่ง อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ยังคงสูงกว่าเกณฑ์กำหนดตามมาตรฐานสากล และคุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ 2565 ภาพรวมปรับตัวดีขึ้นจากการปรับโครงสร้างหนี้และบริหารจัดการคุณภาพหนี้
7. ภาคประกันภัยอาจได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ยอดเงินขอรับชำระหนี้อยู่ในระดับสูง เมื่อเทียบกับจำนวนเงินกองทุนประกันวินาศภัย ทำให้การจ่ายเงินของกองทุนประกันวินาศภัยจำนวนมาก
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ความเสี่ยงทางการคลัง รัฐบาลสามารถใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายการคลังในปีงบประมาณต่อไปได้ ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ใช้นโยบายการคลังและงบประมาณ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและภาคธุรกิจ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ขณะที่การก่อหนี้กว่าร้อยละ 70 ยังเป็นหนี้เพื่อการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งบางประเทศยังนำแนวทางการดำเนินงานของรัฐบาลเป็นโมเดลในการพัฒนาประเทศด้วย.-สำนักข่าวไทย