กรุงเทพฯ 15 ต.ค. -กรมปศุสัตว์เตือนประชาชนอย่าทิ้งสัตว์หรือซากสัตว์ในที่สาธารณะเนื่องจากมีความผิดตามกฎหมาย รวมถึงอาจทำให้เกิดโรคระบาดสัตว์ ย้ำห้ามนำมาบริโภคด้วยเพราะเสี่ยงติดโรคระบาดจากสัตว์สู่คน
นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์เปิดเผยถึงกรณีที่ในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ มีผู้นำสุกรมาทิ้งในที่สาธารณะจนเป็นเหตุให้เกิดความวิตกกังวลแก่ประชาชนว่าจะเป็นสาเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคระบาดได้ ในกรณีดังกล่าวกรมปศุสัตว์ได้ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการฝังกลบและทำการฆ่าเชื้อโรคแก่ซากสุกรดังกล่าวตามขั้นตอนของกรมปศุสัตว์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอให้ประชาชนมั่นใจในความปลอดภัยจากโรคระบาดที่อาจมีได้ในซากสุกรชุดดังกล่าว ซึ่งการกระทำดังกล่าวนอกจากจะเป็นสร้างความเดือนร้อนแก่ประชาชนในบริเวณใกล้เคียง และอาจเป็นแหล่งแพร่กระจายของเชื้อโรคต่างๆได้ อันจะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อเกษตรกรรายอื่นเป็นวงกว้าง
ทั้งนี้การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายหลายฉบับไม่ว่าจะเป็นมาตรา 396 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ผู้ใดทิ้งซากสัตว์ซึ่งอาจเน่าเหม็นในหรือริมทางสาธารณะ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือมาตรา 11 แห่งพรบ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558.ที่กำหนดให้เจ้าของสัตว์แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สารวัตร หรือสัตวแพทย์ ภายในเวลาสิบสองชั่วโมงนับแต่เวลาที่ทราบว่าสัตว์ป่วยหรือตาย หากไม่ปฏิบัติต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อธิบดีกรมปศุสัตว์กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากในช่วงเวลานี้เป็นฤดูมรสุมและกำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาว สภาพอากาศมีความแปรปรวน ประกอบกับหลายพื้นที่ประสบสภาวะน้ำท่วมทำให้สุกรเกิดความเครียด ประกอบกับหากเป็นฟาร์มของเกษตรรายย่อยซึ่งระบบความปลอดภัยทางชีวภาพในการเลี้ยงสุกร (Biosecurity) ยังไม่ดีจะทำให้สุกรที่เลี้ยงมีความเสี่ยงสูงมากขึ้นที่จะเกิดการติดเชื้อขึ้นในฟาร์มโดยเฉพาะที่มีการเลี้ยงสุกรหนาแน่นและมีประวัติการระบาดของโรคมาก่อน จึงเป็นสาเหตุให้โรคนี้เกิดการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว กรมปศุสัตว์จึงมีความห่วงใยเกษตรกรโดยเฉพาะรายย่อยจึงมีคำแนะนำให้เกษตรกรปรับปรุงระบบความปลอดภัยทางชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสุกรให้มีประสิทธิภาพ เช่น ควรมีการจัดการที่ดีตามหลักความปลอดภัยทางชีวภาพ (biosecurity) ควรทำการกักแยกสุกรที่นำเข้ามาเลี้ยงใหม่เพื่อสังเกตอาการก่อนปล่อยเข้าร่วมฝูง ทำความสะอาดฟาร์มด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่มีประสิทธิภาพ เข้มงวดการทำลายเชื้อโรคในน้ำที่ใช้ในฟาร์มก่อนนำไปใช้เลี้ยงสุกร ยานพาหนะที่เข้า – ออกฟาร์มจะต้องผ่านการฆ่าเชื้อโรคทุกครั้ง ไม่นำสุกรที่ไม่ทราบประวัติเข้าสู่ฟาร์มโดยเฉพาะจากพื้นที่ที่เคยมีการระบาดโรคต่างๆมาก่อน รวมทั้งการใช้วัคซีนในการป้องกันโรคแต่ต้องร่วมกับระบบการป้องกันโรคในฟาร์มที่มีประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ดี เพื่อให้การควบคุม ป้องกันโรคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กรมปศุสัตว์ขอความร่วมมือเกษตรกรเพิ่มเติม ดังนี้
1. ปรับปรุงระบบความปลอดภัยทางชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสุกรให้มีประสิทธิภาพ
2. ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการควบคุม ป้องกันโรคในสุกรเพื่อสามารถควบคุมการระบาดของโรคให้อยู่ในวงจำกัด
3. กรณีฟาร์มเกษตรกรรายย่อยให้ติดตามข่าวสารการแพร่ระบาดของโรคอย่างใกล้ชิด หากฟาร์มตั้งอยู่ในเขตพื้นที่โรคระบาดให้หยุดการเคลื่อนย้ายสุกร เช่น หยุดการทดแทนสุกรเข้าฟาร์ม หยุดการรับลูกสุกรจากแหล่งอื่นเข้าเลี้ยง รวมไปถึงไม่ให้เกษตรรายอื่นเข้ามาในฟาร์มตนเอง จนกว่าการระบาดของโรคในพื้นที่นั้นสงบลงแล้ว
4. หากพบสุกรที่สงสัยว่าป่วยหรือตายด้วยโรคระบาด หรือด้วยอาการผิดปกติไม่ทราบสาเหตุ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์อำเภอ เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์จังหวัดในพื้นที่ทันที หรือผ่านทางแอพพลิเคชั่นมือถือ “DLD 4.0” หรือสายด่วนกรมปศุสัตว์ หมายเลขโทรศัพท์ 063 225 6888 เพื่อเข้าทำการตรวจสอบต่อไป
5. สุกรที่ตายด้วยโรคระบาดหรือไม่มั่นใจในความปลอดภัยของเนื้อที่จะนำมาบริโภคขอให้งดนำเนื้อสุกรนั้นมาบริโภคทุกกรณี หากประชาชนต้องการบริโภคเนื้อสุกรขอให้เลือกซื้อเนื้อสุกรที่มาจากแหล่งผลิตและผู้จำหน่ายที่ได้รับสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” และโดยต้องนำมาปรุงสุกทุกครั้งก่อนการบริโภคเพื่อสุขอนามัยที่ดี
ทั้งนี้ กรมปศุสัตว์ขอยืนยันว่า ในปัจจุบันเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ได้ดำเนินการเฝ้าระวัง ควบคุม และป้องกันโรคระบาดต่างๆในสัตว์อย่างเข้มงวดและมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงขอให้เกษตรกรให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ในการเฝ้าระวัง ควบคุม และป้องกันโรคระบาด และขอให้ประชาชนบริโภคเนื้อสุกรได้ตามปกติไม่ต้องตื่นตระหนก นอกจากนี้พี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์หรือประชาชนทั่วไปสามารถติดตามความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับกรมปศุสัตว์หรือข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ผ่านแอพพลิเคชั่นมือถือ “DLD 4.0” ได้ตลอดเวลา.-สำนักข่าวไทย