กรุงเทพฯ 11 ก.พ. – กรมชลประทานพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูงอีกครั้งในวันที่ 11-14 กุมภาพันธ์นี้ ให้โครงการชลประทานลุ่มเจ้าพระยาเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามมาตราการควบคุมค่าความเค็มอย่างเคร่งครัด
นายสัญญา แสงพุ่มพงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมชลประทานเปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูงมาตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดค่าความเค็มเพิ่มขึ้นในลุ่มน้ำเจ้าพระยาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 9 ก.พ. ที่สถานีประปาสำแล จ. ปทุมธานีมีค่าความเค็มสูงกว่าเกณฑ์วิกฤติ 0.5 กรัมต่อลิตร รวม 12 ชม. ต่อมาเวลา 16.00 น. ค่าความเค็มสูงสุดวัดได้ 1.63 กรัมต่อลิตร เนื่องจากในขณะนี้เป็นช่วงน้ำทะเลหนุนสูง ประกอบในช่วงวันที่ 13 – 14 ก.พ. จะมีอิทธิพลของลมใต้ทำให้เกิดคลื่นซัดฝั่ง (storm surge) ส่งผลให้ระดับในเเม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณปากอ่าวไทยมีระดับน้ำเพิ่มขึ้น จึงสั่งการให้ปรับเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักฯ ตั้งเเต่วันที่ 10 ก.พ. จากอัตรา 55 ลบ.ม.ต่อวินาที เป็น 80 ลบ.ม.ต่อวินาที จนถึงวันที่ 16 ก.พ. หลังจากนั้นลดเหลืออัตรา 45 ลบ.ม.ต่อวินาที พร้อมเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนพระรามหกจากอัตรา 45 ลบ.ม.ต่อวินาที เป็น 55 ลบ.ม.ต่อวินาที และตั้งเเต่วันนี้ (11 ก.พ.) จะเพิ่มการระบายเป็น 70 ลบ.ม.ต่อวินาที ต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 16 ก.พ. หลังจากนั้นจะทยอยลดลงเหลือ 25 ลบ.ม.ต่อวินาที
ทั้งนี้ ได้กำชับให้โครงการชลประทานในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมค่าความเค็มที่กำหนดไว้ พร้อมขอความร่วมมือประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าทุกแห่งที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยาลงมาจนถึงสถานีสูบน้ำสำแล ให้งดการรับน้ำหรือสูบน้ำในระยะนี้ เพื่อให้การควบคุมค่าความเค็มเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดและมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญขอให้ทุกภาคส่วนร่วมใจกันใช้น้ำอย่างประหยัดให้มากที่สุด โดยเฉพาะชาวเมืองหลวงและปริมณฑลที่ใช้น้ำจากการประปานครหลวง (กปน.) เพื่อให้ปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่อย่างจำกัดเพียงพอใช้ไปจนถึงต้นฤดูฝนหน้า . – สำนักข่าวไทย