ชุมพร 11 เม.ย. – เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟโรบัสต้ายังสับสนเกี่ยวกับคำสั่งศาลแพ่งห้ามบริษัท เนสท์เล่ (ประเทศไทย) จำกัด ผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปภายใต้แบรนด์ “เนสกาแฟ” ในประเทศไทย โดยสหกรณ์ในจังหวัดชุมพร ระบุว่า มีกาแฟสารรอจำหน่ายเข้าโรงงานกว่า 200 ตัน แม้ในตลาดจะมีผู้ผลิตยี่ห้ออื่นพร้อมรับซื้อ แต่จะยังไม่รีบขาย เกรงถูกกดราคา
นายปิยะ หนูสุด ผู้จัดการสหกรณ์ผู้ปลูกกาแฟจังหวัดชุมพร จำกัด กล่าวว่า สหกรณ์มีสมาชิก 412 ราย ปีที่แล้วผลิตกาแฟสารได้ปีละ 500 ตัน ส่งให้บริษัท เนสท์เล่ไปประมาณ 110 ตัน อีกจำนวนหนึ่งส่งให้โรงคั่วต่าง ๆ และยังคงเหลือในโกดังอีก 250 ตัน โดยเตรียมจะส่งให้เนสท์เล่เพิ่มเติม แต่เมื่อข่าวว่า ศาลแพ่งมีนบุรีได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามบริษัท เนสท์เล่ (ประเทศไทย) จำกัด ผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปภายใต้แบรนด์ “เนสกาแฟ” ในประเทศไทยจึงยังคงสับสนถึงในระยะต่อไปว่า บริษัท เนสท์เล่จะตกลงกับบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนได้ แล้วกลับมาผลิตกาแฟยี่ห้อเนสกาแฟใหม่ได้หรือไม่
สำหรับสหกรณ์มองได้เป็น 2 นัย คือ เป็นวิกฤตเพราะหากเนสท์เล่หยุดรับซื้อจริง ในระยะแรกจะกระทบตลาด การส่งมอบกาแฟสารจะชะงักทันที ส่วนโอกาสจะมีเช่นกัน เพราะเป็นช่องทางให้แบรนด์อื่นเช่น เขาช่อง เบอร์ดี้ มอคโคน่า และโรงคั่วอื่นเข้ามาแทนที่ โดยเชื่อว่า แบรนด์อื่นต้องการผลผลิตกาแฟโรบัสต้าไปผลิตกาแฟสำเร็จรูปซึ่งปีที่ผ่านมาผลผลิตมีน้อยมาก โดยเฉพาะในจังหวัดชุมพรผลิตได้ไม่ถึง 2,500 ตัน สาเหตุหลักมาจากภัยแล้ง 2 ปีซ้อนและต้นกาแฟตายจำนวนมาก รวมถึงเกษตรกรบางส่วนหันไปปลูกทุเรียน ทำให้พื้นที่เพาะปลูกกาแฟลดลง
ทั้งนี้ สหกรณ์ผู้ปลูกกาแฟมองว่า ผลผลิตกาแฟปีที่ผ่านมา แม้จะผลิตได้ลดลง แต่มีคุณภาพดี จากที่เคยส่งให้เนสท์ 205 บาท/กิโลกรัม หากเจ้าอื่นมาติดต่อขอรับซื้อ ก็คาดหวังราคาที่สูงกว่านี้ แต่ที่สำคัญคือ จะต้องยังไม่รีบขายเพราะอาจถูกกดราคา กาแฟสารสามารถเก็บได้ 1-2 ปี หลังเก็บเกี่ยว ขึ้นอยู่กับว่า สหกรณ์หรือกลุ่มเกษตรกรมีทุนเพียงพอที่จะชะลอการระบายผลผลิตหรือไม่ หากรอได้เชื่อว่า ราคาจะสูงขึ้น
นอกจากนี้การรวบรวมผลผลิตแล้ว สหกรณ์ยังแปรรูปเองส่วนหนึ่งเพื่อส่งร้านกาแฟต่าง ๆ เมื่อร้านค้าหรือผู้บริโภคที่เคยใช้กาแฟสำเร็จรูปหาเนสกาแฟไม่ได้ อาจหันมาลองกาแฟของสหกรณ์หรือผู้ผลิตรายย่อยเพิ่มขึ้น สำหรับกรณีของเนสท์เล่ เกษตรกรส่วนใหญ่ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ว่า จะมีการฟ้องร้องกันเพิ่มเติมหรือกลับมาตกลงกันได้หรือไม่ รวมทั้งต้องรอดูแนวโน้มตลาด โดยรวมแล้วมองเป็นทั้ง “วิกฤติและโอกาส” อยู่ในเวลาเดียวกัน. -512-สำนักข่าวไทย