กรุงเทพฯ 28 ก.ย.-กอนช. คาดพายุโซนร้อน “โนรู” จะส่งผลกระทบ 38 จังหวัด บัญชาการศูนย์ส่วนหน้าบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า ภาคอีสาน – กลาง ให้พร้อมรับมือและพร้อมช่วยเหลือประชาชน
ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์พายุ “โนรู” ร่วมกับศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง โดย กอนช. คาดการณ์ว่าพายุโซนร้อน “โนรู” จะเข้าปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของประเทศไทยบริเวณ จ.อำนาจเจริญ และอุบลราชธานีในวันพรุ่งนี้ (29 ก.ย.) หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันและหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงตามลำดับ
ทั้งนี้ ประเมินว่าจะมีผลกระทบในพื้นที่ต่างๆ 38 จังหวัด บริเวณภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก จึงเน้นย้ำทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลางและระดับพื้นที่พร้อมรับสถานการณ์พายุโนรู ซึ่งถือเป็นพายุลูกแรกที่เข้าสู่ประเทศไทยในปีนี้ ตามข้อสั่งการ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผอ.กอนช. อาทิ การบริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำขนาดใหญ่-กลาง รวมถึงขนาดเล็กในจุดเสี่ยงต่างๆ การตรวจสอบอาคารชลศาสตร์/ระบบระบายน้ำ สถานีโทรมาตรให้พร้อมใช้งาน เตรียมพร้อม/วางแผนเครื่องจักร เครื่องมือประจำพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม ตรวจความมั่นคงและปลอดภัยคัน/ทำนบ/พนังกั้นน้ำ รวมถึงการให้ข้อมูลจุดเสี่ยงได้รับผลกระทบเพื่อประสานงาน อำนวยความสะดวกจัดเตรียมพื้นที่อพยพและซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ ที่สำคัญคือ การแจ้งเตือนประชาชนให้เข้าถึงทุกพื้นที่เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง การระดมสรรพกำลังทหาร พลเรือน เครื่องจักรเครื่องมือ ระบบสื่อสารการอพยพช่วยเหลือประชาชนให้ได้รับความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สินมากที่สุด และกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติให้ได้โดยเร็วที่สุด

สำหรับสถานการณ์น้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นพื้นที่แรกที่จะได้รับอิทธิพลจากพายุ “โนรู”เข้าฝั่งไทย ลุ่มน้ำมูลล่าสุด พบว่ามีน้ำล้นตลิ่งในหลายพื้นที่ ได้แก่ อ.พิมาย อ.จักราช จ.นครราชสีมา อ.จอมพระ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์อ.ห้วยทับทัน อ.เมืองศรีสะเกษ อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ อ.เมืองอุบลราชธานี อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี และทุกสถานีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ขณะที่ลุ่มน้ำชีปริมาณน้ำล้นตลิ่งเกือบตลอดแม่น้ำสายหลัก ได้แก่ อ.เมืองชัยภูมิ จ.ชัยภูมิอ.เมืองขอนแก่น จ.ขอนแก่น อ.เมืองโกสุมพิสัย อ.เมืองมหาสารคาม จ.มหาสารคาม อ.จังหาร จ.ร้อยเอ็ด อ.บ้านใหม่ อ.มหาชนะชัย จ.ยโสธร อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี
ส่วนสถานการณ์น้ำภาคกลางล่าสุดในลุ่มน้ำป่าสักมีน้ำล้นตลิ่งบริเวณพื้นที่ต้นน้ำป่าสัก บริเวณ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ และท้ายน้ำมีปริมาณน้ำเกินความจุลำน้ำอยู่เล็กน้อยและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ที่สถานีวัดน้ำบริเวณคลองโผงเผง แม่น้ำน้อย แม่น้ำเจ้าพระยา แนวโน้มระดับน้ำยังทรงตัว อย่างไรก็ตาม การเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาหากมีการเพิ่มขึ้น กอนช.ได้เน้นย้ำกรมชลประทานให้มีการแจ้งเตือนประชาชนท้ายน้ำล่วงหน้า รวมถึงระดับน้ำที่คาดว่าเพิ่มสูงขึ้นเพื่อให้ประชาชนยกของขึ้นที่สูงหรือเคลื่อนย้ายทรัพย์สิน หรืออพยพไปยังจุดที่ปลอดภัยได้ล่วงหน้า
ดร.สุรสีห์ กล่าวถึงข้อกังวลที่ว่า ปีนี้จะซ้ำรอยอุทกภัยปี 2554 นั้น โดยระบุว่า แม้ปีนี้จะมีปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่มาก แต่จะไม่เหมือนกับปี 2554 ที่ปัญหาน้ำท่วมเกิดจากพายุเข้าประเทศไทยถึง 5 ลูก และมีปริมาณน้ำเหนือที่ไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์ มากถึง 3,935 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (ลบ.ม./วินาที) และระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาถึง 3,709 ลบ.ม./วินาที (อัตราการะบายสูงสุด 2,840 ลบ.ม./วินาที) แต่ในปัจจุบันมีปริมาณน้ำที่ไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา 2,100 ลบ.ม./วินาที และสถานีวัดน้ำ C.29A ที่ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,738 ลบ.ม./วินาที จากความจุ 3,500 ลบ.ม./วินาที ทำให้ไม่มีโอกาสที่จะมีน้ำเหนือหลากเข้า กทม.และปริมณฑล เหมือนปี 2554 ส่วนแนวโน้มในระยะใกล้นี้ยังไม่มีสัญญาณพายุเข้าประเทศไทย แต่ กอนช.จะเฝ้าติดตามสถานการณ์พายุอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชนได้ทันที แต่ก็ยังนิ่งนอนใจไม่ได้ถึงสถานการณ์น้ำในปีนี้เนื่องจากปีนี้ต้องยอมรับว่า ปีนี้มีปริมาณฝนมากกว่าปกติ โดยในเดือน ต.ค. จะมีปริมาณฝนมากในพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคใต้ จากนั้นช่วงเดือน ต.ค.- พ.ย. ปริมาณฝนจะตกมากในพื้นที่ภาคใต้ตามลำดับ.-สำนักข่าวไทย