กรุงเทพฯ 6 ก.ค. – ตำรวจไซเบอร์ ร่วมกับ กสทช. และ AIS เปิดปฏิบัติการเข้าทลายเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 9 จุด หลังพบเป็นจุดส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือสำหรับโทรหลอกลวงประชาชน
หนึ่งในจุดที่เข้าตรวจค้น อยู่ที่แมนชั่นแห่งหนึ่งภายในซอยบางนา-ตราด 19 ที่เครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ได้มาเช่าห้องภายในแมนชั่น ชั้น 2 จำนวน 2 ห้อง ภายในห้องไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใดๆ แต่พบอุปกรณ์เราต์เตอร์สำหรับส่งสัญญาณ 4G/5G สำหรับใช้โทรศัพท์จำนวนมาก และพบผู้ต้องสงสัยอีกจำนวน 4 คน อยู่ภายในห้องด้วย ซึ่งเบื้องต้นทั้ง 4 ราย ยังให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนรู้เห็น แต่เจ้าหน้าที่ระบุว่ามีประวัติการพูดคุยในโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเชื่อได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายนี้
สำหรับการตรวจค้นทั้ง 9 จุด เจ้าหน้าที่สามารถจับกุม นายสุชาติ ผู้ต้องหาตามหมายจับได้ 1 คน ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น และข้อหา นำเข้าข้อมูลเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งนายสุชาติ มีหน้าที่ดูแล โดยได้รับค่าจ้างโอนเข้าบัญชาจากต่างประเทศ เดือนละ 20,000 บาท และเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดอุปกรณ์เราต์เตอร์ได้รวม 43 เครื่อง แต่ละเครื่องสามารถบรรจุซิมได้ 32 ซิม โทรได้ซิมละ 500 ครั้งต่อวัน ดังนั้น ใน 1 เดือน จะสามารถโทรได้ถึง 20 ล้านครั้ง คิดเป็น 1 ใน 4 ของประชากรในประเทศไทยที่จะถูกมิจฉาชีพโทรไปหลอกลวง ซึ่งตำรวจได้ตรวจยึดอุปกรณ์ทั้งหมดไว้ตรวจสอบขยายผลต่อไป
พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผบช.สอท. กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้ ถือเป็นการจับกุมเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ในไทย โดยอาศัยความร่วมมือจากระบบ AIS Report Spam และร่วมกับ กสทช. ในการหาพิกัดของเครื่องส่งสัญญาณ ซึ่งวิธีการนี้ ทำให้มิจฉาชีพในปัจจุบัน สามารถใช้เบอร์ประเทศไทย โทรศัพท์มาได้ แม้คนที่โทรจะอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน โดยก่อนหน้านี้ที่มิจฉาชีพใช้เบอร์ +697 โทรมา แต่คนเริ่มรู้ทันไม่รับสาย จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีนี้
โดยวิธีการ คือ การนำซิมเบอร์โทรศัพท์ปกติใส่เข้าไปในเครื่องนี้ และส่งสัญญาณ 4G/5G โยนออกไปนอกประเทศ ให้คนที่เป็นคอลเซ็นเตอร์ที่ทำงานอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านใช้โทรมาคุยกับประชาชนในไทย โดยไม่ต้องเสียค่าโทรศัพท์ในการโทรข้ามประเทศ ซึ่งหลังจากนี้จะต้องตรวจสอบว่า ทำไมถึงมีการนำเข้าเครื่องส่งสัญญาณตัวนี้มาได้ และจะนำซิมโทรศัพท์มือถือที่ยึดได้ทั้งหมด ไปตรวจสอบชื่อผู้จดทะเบียนต่อไป ซึ่งจะมีความผิดด้วย คล้ายกับบัญชีม้า
สำหรับเครือข่ายนี้ จากการสืบสวนพบว่า เริ่มทำมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีหัวหน้าผู้บงการ เป็นชาวต่างชาติ ตอนนี้รู้สัญชาติแล้ว อยู่ระหว่างขยายผลเพื่อจับกุมต่อไป
ขณะที่ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า พฤติการณ์ของเครือข่ายคอบเซ็นเตอร์นี้ จะมาเช่าห้องที่คอนโด และใช้อุปกรณ์คล้ายตัวจ่ายไฟ เป็นเราต์เตอร์สำหรับใส่ซิมและส่งสัญญาณออกไป ซึ่งเครื่องส่งสัญญาณตัวนี้ หากจะมีการนำเข้ามาใช้ ต้องขออนุญาตตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 และการลักลอบนำเข้าประเทศมา ก็ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร ด้วย
ด้าน คุณสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าฝ่ายงานประชาสัมพันธ์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ที่ผ่านมาทาง AIS พยายามมาตลอดที่จะสื่อสารให้ความรู้กับประชาชนในการตรวจสอบแยกแยะสายโทรศัพท์ของมิจฉาชีพ แต่มิจฉาชีพยังคงมีกลไก เปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ จึงได้เปิดศูนย์ 1185 Spam Report Center ขึ้นมา โดยทำงานใกล้ชิดกับตำรวจไซเบอร์ ให้ประชาชนแจ้งเบาะแสเบอร์โทรของมิจฉาชีพ ซึ่งมีประชาชนแจ้งเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทีมเทคโนโลยีจึงตรวจสอบหมายเลขที่ได้รับแจ้ง และส่งต่อข้อมูลให้ตำรวจไซเบอร์และ กสทช. ขยายผล จนสามารถจับพิกัดของเครือข่ายที่เป็นแหล่งกำเนิดสัญญาณได้ .-สำนักข่าวไทย