ไทยออยล์ประเมินราคาน้ำมันดิบปีนี้ไม่ต่ำกว่า 95 ดอลลาร์ฯ

กรุงเทพฯ 31 มี.ค. -ไทยออยล์ประเมินราคาน้ำมันดิบปีนี้ไม่ต่ำกว่า 95 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ชี้ปีนี้เป็นปีทอง หลังดีมานด์พุ่ง มาร์จิ้นขยับสูง เดินหน้าลงทุนสร้างมูลค่าเพิ่ม และรองรับการใช้น้ำมันของโลกลดลงในอนาคต หลัง “อีวี” มาไว คาดแผนเพิ่มทุนชัดเจนไตรมาส 3/65


นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP กล่าวว่า ปีนี้นับเป็นปีทองของไทยออยล์ เนื่องจากมาร์จิ้นขยับดีขึ้นมาก เนื่องจากเศรษฐกิจโลกพลิกฟื้น ความต้องการน้ำมันขยับดีขึ้น หลังจากเกิดปัญหาโควิด-19 กว่า 2 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่เหตุการณ์ “ยูเครน-รัสเซีย” ก็กระทบต่อราคาพลังงานสูงขึ้น โดยไทยออยล์ประเมินว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบจากนี้ไป หากกรณีสงครามยืดเยื้อ ราคาเฉลี่ยปีนี้มีโอกาสที่จะปรับขึ้นไปที่ระดับ 110-115 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หากสถานการณ์คลี่คลาย ราคาน้ำมันดิบอาจจะปรับลดลงอยู่ในระดับไม่เกิน 95-100 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ส่วนกรณีที่ภาครัฐเตรียมให้เพิ่มสำรองน้ำมันดิบทางกฎหมายจากร้อยละ 4 เป็นร้อยละ 5 เหมือนช่วงก่อนเกิดโควิด-19 นั้นก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ไทยออยล์มีความพร้อมในการดำเนินการ 


ส่วนเรื่องการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ที่ในขณะนี้มีความนิยมเพิ่มมากขึ้น นายวิรัตน์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม แต่ก็กระทบต่อยอดการใช้น้ำมันในอนาคต ซึ่งจากนี้ไปจนถึงปี 2565 จำนวนรถยนต์อีวี ยังมีสัดส่วนต่ำในไทย มีประมาณร้อยละ 2 ของรถยนต์ทั้งหมด ซึ่งเพื่อรับเรื่องนี้ ไทยออยล์ได้เตรียมแผนงาน ต่อยอดธุรกิจจากพื้นฐานด้านการกลั่นที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง กระจายผลิตภัณฑ์ตามที่ตลาดต้องการ โดยเจาะลึกในตลาดภูมิภาคที่มีความต้องการสูง รวมถึงกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปสู่ธุรกิจที่มีความผันผวนต่ำ และลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เป็น New S-Curve สอดคล้องกับเป้าหมายที่จะมีสัดส่วนของกำไรจากธุรกิจปิโตรเลียม 40% ธุรกิจปิโตรเคมี 40% ธุรกิจไฟฟ้า 10% และธุรกิจใหม่อีก 10% ภายในปี พ.ศ. 2573

ทั้งนี้ ดำเนินการผ่านกลยุทธ์หลัก 3 ด้าน (3Vs) ได้แก่ 1) การเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ผ่านโครงการ CFP (Clean Fuel Project) และต่อยอดธุรกิจปิโตรเลียมไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมีและ High Value Product (HVP) ซึ่งปีที่ผ่านมาได้ลงทุนใน PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (“CAP”) ประเทศอินโดนีเซีย ถือเป็นก้าวแรกสู่การลงทุนในธุรกิจโอเลฟินส์

2) การบริหารจัดการห่วงโซ่คุณค่า ผ่านฐานลูกค้าในภูมิภาคที่มีอยู่เดิม กระจายผลิตภัณฑ์ตามที่ตลาดต้องการโดยเจาะลึกในตลาดภูมิภาคที่มีความต้องการสูง  เตรียมฐานลูกค้าเพื่อรองรับหลังจากโครงการ CFP แล้วเสร็จ


3) การกระจายการเติบโต หาโอกาสในธุรกิจใหม่ (New S-Curve)  ลงทุนผ่าน Corporate Venture Capital (CVC) และลงทุนในธุรกิจใหม่ (Step Out) เช่น Biofuel, Biochem, Bioplastic และ Hydrogen

“การขยายตลาดไปประเทศอินโดนีเซีย นับเป็นการสนองต่อตลาดที่มีความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจำนวนมาก ปัจจุบัน CAP มีกำลังการผลิตรวม 4.23 ล้านตันต่อปี และมีแผนก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีแห่งที่ 2 (CAP2) รองรับเป้าหมายขยายกำลังการผลิตอีกเท่าตัวเป็น 8 ล้านตันต่อปี ภายในปีพ.ศ. 2569 โครงการนี้มี บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ร่วมทุนด้วย ในขณะเดียวกัน บริษัทยังพูดคุยกับ SCC  เพื่อหาโอกาสการเข้าลงทุนเพิ่มเติมในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กที่ประเทศเวียดนาม”นายวิรัตน์กล่าว

นางวนิดา บุญภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการเงินและบัญชี  TOP เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างทางการเงินระยะยาวให้แข็งแกร่ง เพื่อรองรับการขยายธุรกิจตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ โดยเตรียมแผนไว้ 2 ส่วน คือ การขายหุ้นบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC จำนวน 304 ล้านหุ้น คิดเป็น 10.78% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ GPSC มูลค่ารวม 22,351 ล้านบาท คาดบริษัทจะบันทึกกำไรจากการขายหุ้น GPSC ในครั้งนี้ประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาทในช่วงไตรมาส 2/2565 และเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไป (Public Offering: PO) จำนวนไม่เกิน 239 ล้านหุ้น และเตรียมกรีนชูอีกจำนวนไม่เกิน 35.885 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 15% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดที่เสนอขายในครั้งนี้ คาดว่าจะสามารถแกหุ้นเพิ่มทุนได้ภายในไตรมาส 3/2565 โดยบริษัทจะนำเงินจากทั้งสองส่วน  เพื่อใช้สำหรับชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมระยะสั้น (bridge loans) จากการลงทุนใน  CAP  จำนวน 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะช่วยซึ่งจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่ายได้ประมาณ 700 ล้านบาทและลดอัตราส่วนระหว่างหนี้สินสุทธิต่อทุนของบริษัทฯ (Net Debt-to-Equity Ratio: D/E) ให้น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.4 เท่า และคงอันดับความน่าเชื่อถือด้านเครดิต (Credit rating) ให้อยู่ในเกณฑ์กลุ่มระดับลงทุน (Investment grade) ทำให้บริษัทมีความคล่องตัวมากขึ้นในการดำเนินธุรกิจ

นอกจากนี้ บริษัทจะต้องใส่เงินลงทุนในโครงการลงทุน CAP 2 หากบริษัทร่วมทุนตัดสินใจลงทุนชัดเจน โดย วงเงินที่จะต้องใช้เพิ่มอีกประมาณ 270 ล้านเหรียญสหรัฐในต้นปี 2566 ซึ่งจะเป็นเงินจากกระแสเงินสดภายในบริษัท จากที่ก่อนหน้านี้ได้ใช้เงินเข้าไปลงทุนแล้วกว่า 913 ล้านเหรียญสหรัฐ .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เหล้าเถื่อนลาว

เสียชีวิตรายที่ 6 คลัสเตอร์เหล้าเถื่อนในลาว

คลัสเตอร์เหล้าเถื่อนในลาว มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียชีวิตเพิ่มรายที่ 6 เป็นหญิงชาวออสเตรเลีย เสียชีวิตขณะรักษาตัวในไทย

ย้ายเจ้ากรมยุทธศึกษา ทบ.

ย้ายเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก ช่วยปฏิบัติราชการที่กองบัญชาการกองทัพบก หลังถูกร้องทำร้ายร่างกายผู้ใต้บังคับบัญชา พร้อมช่วยเจ้าทุกข์ย้ายหน่วยตามร้องขอ

ไฟไหม้โรงงานพัดลม เผาวอดเสียหายกว่า 50 ล้าน

ไฟไหม้โรงงานผลิตพัดลมรายใหญ่ จ.สมุทรสาคร ระดมรถดับเพลิงระงับเหตุ กว่า 5 ชม. จึงควบคุมไว้ได้ในวงจำกัด เบื้องต้นเสียหายกว่า 50 ล้านบาท

ข่าวแนะนำ

หมอบุญ

THG แจงบริษัทไม่เกี่ยวข้องคดีต่างๆ ที่เกิดจาก “หมอบุญ”

THG แจงตลาดหลักทรัพย์ฯ ปัจจุบัน “หมอบุญ” ไม่ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้บริหารใน THG คดีฉ้อโกงใดๆ ที่เกิดขึ้น บริษัทไม่เกี่ยวข้อง

ค้นบ้านสามารถ

ดีเอสไอ เข้าค้นบ้าน “สามารถ” คดีฟอกเงินดิไอคอน

ดีเอสไอ เข้าค้นบ้าน “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” คดีฟอกเงินดิไอคอน หลังพบเงิน “บอสดิไอคอน” โอนเข้าบัญชีแม่ของนายสามารถ

ศึกชิงนายก อบจ.เพชรบุรี แชมป์เก่ายังแรง

เลือกตั้งนายก อบจ.เพชรบุรี ไม่คึกคัก ผลไม่เป็นทางการ “ชัยยะ อังกินันทน์” แชมป์เก่า คะแนนนำทิ้งห่างคู่แข่ง ด้านเลขาฯ กกต. เผยภาพรวมทั้ง 3 จังหวัด คนมาใช้สิทธิน้อย คาดเบื่อเลือกตั้ง 2 รอบ