กรุงเทพฯ 10 มี.ค.-กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจีเผยจากต้นทุนเคมีและพลังงานสูงขึ้นจากสงครามรัสเซียและยูเครนทำให้ผลิตภัณฑ์สินค้าเอสซีจีจำเป็นต้องปรับราคาจำหน่ายเพิ่มขึ้นในไม่ช้านี้ ย้ำจะปรับเพิ่มกระทบผู้บริโภคน้อยที่สุด พร้อมทบทวนโครงการลงทุนของกลุ่มใหม่ และยังไม่แน่ใจเป้าหมายปีนี้ตั้งไว้โต 10% จะเป็นไปตามนั้นหลังเจอสงคราม 2 ประเทศ
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวถึงกลยุทธ์ปรับตัวท่ามกลางความท้าทายของวิกฤตโลกว่า จากเหตุการณ์ความตึงเครียดรัสเซียและยูเครนเกิดขึ้น ยอมรับว่ากระทบต่อต้นทุนด้านเคมีภัณฑ์และพลังงานที่จำเป็นนำมาผลิตเป็นสินค้าในกลุ่มของเอสซีจีอย่างมาก หากสงครามไม่เกิดขึ้นผลกระทบจากปัญหาโควิดแม้จะยืดเยื้อมากว่า 2 ปีก็ยังปรับตัวและพอรับได้ แต่หลังจากเหตุการณ์ความตึงเครียด 2 ประเทศเกิดขึ้นส่งผลกระต่อต้นทุนการผลิตอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ทางเอสซีจีได้ประเมินและพิจารณาจากผลกระทบดังกล่าว ทางเอสซีจีจำเป็นต้องปรับราคาสินค้าในกลุ่มเอสซีจีขึ้น โดยแบ่งเป็นผลกระทบต่อต้นทุนที่เกี่ยวข้องวัตถุดิบจะปรับขึ้นตามต้นทุนที่แท้จริงเป็นไปตามตลาดโลก ส่วนผลกระทบต้นทุนด้านพลังงานจะพยายามตรึงสินค้าไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากต้นทุนเดิมหลังจากราคาน้ำมันเคยอยู่ที่ 70-80 เหรียญต่อบาร์เรล แต่ขณะนี้ขยับสูงขึ้นกว่า 120 เหรียญต่อบาร์เรลและยังไม่รู้ว่าจะเพิ่มสูงขึ้นไปถึงไหน ดังนั้น ผลกระทบจากต้นทุนดังกล่าว ทางเอสซีจีจำเป็นต้องปรับราคาสินค้าในกลุ่มเอสซีจีขึ้น โดยจะพยายามปรับขึ้นกระทบต่อผู้บริโภคให้น้อยที่สุด
นอกจากนี้ ยอมรับว่าจากเป้าหมายที่คาดว่าปี 65 ธุรกิจเอสซีจีจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10 % แต่จากผลกระทบความตึงเครียดรัสเซียและยูเครนเกิดขึ้น ทำให้ทางเอสซีจีต้องมีการทบทวนแผนการลงทุนในด้านต่างๆใหม่จากแผนเดิมกำหนดแผนลงทุนในปี 65 ไว้ไม่ต่ำกว่า 80,000 ล้านบาท โดยโครงการไหนที่ลงทุนไปแล้วกว่า 80-90 % ก็จะเดินหน้าทำต่อไป แต่หากโครงการไหนเห็นว่าทำแล้วไม่คุ้มทุนและมีความเสี่ยงจะชะลอออกไปก่อน เพราะยังไม่มั่นใจสถานการณ์ความตึงเครียดสงคราม 2 ประเทศ ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าจะจบเร็วหรือยืดเยื้อยาวนานแค่ไหน ทำให้ จึงคาดการณ์ไม่ได้เต็มทีว่าเป้าหมายที่วางไว้จะเติบโตปี 10 % จะเป็นไปตามนี้ด้วยหรือไม แต่ขณะนี้ทางกลุ่มยังไม่ได้ปรับเป้าหมายการเติบโตของปี 65 ที่กำหนดไว้แต่อย่างใด.-สำนักข่าวไทย