ทำเนียบรัฐบาล 17 พ.ย.-นายกฯ ต้อนรับออท.ภูฏานคนใหม่ ย้ำสัมพันธ์สองประเทศแน่นแฟ้น พร้อมร่วมมือทั้งด้านลงทุน ด้านวิชาการ การท่องเที่ยว
นายคินซัง ดอร์จิ (H.E. Mr. Kinzang Dorji) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรภูฏานประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไทยและภูฏานมีความสัมพันธ์ทางการทูตมากว่า 30 ปี ในระดับราชวงศ์ที่เป็นพื้นฐานความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ และยังประทับใจการเดินทางเยือนภูฏานอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2561ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระราชาธิบดี จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน ประทับใจการต้อนรับอย่างอบอุ่น หวังว่าเอกอัครราชทูตฯ มองไทยเป็นเหมือนบ้านหลังที่สอง และทำหน้าที่ส่งเสริมความสัมพันธ์และกระชับความร่วมมือระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไทยยินดีพิจารณายกระดับการค้าและการลงทุนในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายได้ผลประโยชน์ร่วมกัน และหวังว่าไทยและภูฏานจะร่วมกันสนับสนุนการนำเข้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรตามความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย พร้อมเชิญชวนให้ภูฏานใช้ประโยชน์จากโครงการ Duty Free Quota Free (DFQF) ขององค์การการค้าโลก เพื่อยกระดับความร่วมมือทางการค้าระหว่างกัน อีกทั้ง จะร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทั้งด้านทุนการศึกษา หลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้น โครงการพัฒนาด้านสาธารณสุข การพัฒนาชุมชนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การส่งอาสาสมัครชาวไทยในโครงการ Friends from Thailand (FFT)
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความพร้อมของไทยที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานกรอบความร่วมมือความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสําหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation: BIMSTEC) และจะทำงานกับประเทศสมาชิกทั้งหมดอย่างใกล้ชิด เพื่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านความเชื่อมโยงในภูมิภาค ดยตั้งเป้าที่จะพัฒนา BIMSTEC โดยการบูรณาการ Bio-Circular-Green หรือ BCG Economy Model ซึ่งเป็นการพัฒนาบนพื้นฐานความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์
เอกอัครราชทูตภูฏาน กล่าวว่า ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ราบรื่น มีสถาบันพระมหากษัตริย์และพุทธศาสนาเป็นจุดเชื่อมโยงความสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนการเยือนอย่างสม่ำเสมอทุกระดับ และประชาชนทั้งสองฝ่ายมีทัศนคติที่ดีต่อกัน โดยชาวภูฏานมองไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวทั้งเชิงธรรมชาติและศาสนา ที่สำคัญหวังว่า ทั้งสองประเทศจะเดินทางไปมาหาสู่มากขึ้น ยืนยันยกระดับความร่วมมือทุกมิติ โดยเฉพาะด้านการค้าและการลงทุน การส่งออกสินค้าเกษตร ความร่วมมือด้านวิชาการ และความร่วมมือในกรอบทวิภาคีต่าง ๆ
นายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตภูฏาน หารือถึงความร่วมมือทางด้านสาธารณสุข โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณรัฐบาลภูฏาน สำหรับไมตรีจิตที่มอบวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 150,000 โดสให้แก่ไทย บนพื้นฐานที่ไทยจะคืนวัคซีนฯ แก่ภูฏาน และขอบคุณรัฐบาลภูฏานที่จัดเที่ยวบินอพยพ เพื่อนำชาวไทยในภูฏานกลับประเทศในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วย
เอกอัครราชทูตภูฏาน กล่าวชื่นชมรัฐบาลที่รับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และการฉีดวัคซีนอย่างครอบคลุม จนทำให้ไทยมีสถานการณ์ดีขึ้นนำไปสู่นโยบายเปิดประเทศ ซึ่งภูฏานยินดีที่ได้เป็นหนึ่งในประเทศหรือพื้นที่ต้นทางที่ผู้เดินทางสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และทฤษฎีความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness: GNH) ของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก แห่งภูฏาน มีความสอดคล้องกัน และสามารถประยุกต์ใช้ในทางที่ส่งเสริมกันได้
เอกอัครราชทูตฯ กล่าวชื่นชมหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาที่ยั่งยืนของภูฏาน ซึ่งนายกรัฐมนตรีหวังว่า การมีส่วนร่วมและความร่วมมือของไทยจะช่วยให้ภูฏานบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และวิสัยทัศน์ระดับชาติของความสุขมวลรวมประชาชาติ.-สำนักข่าวไทย