ทำเนียบ 5 ต.ค.-สุพัฒนพงษ์ แจงเหตุปรับลดราคาดีเซลลิตรละ 1 บาท หวังลดความเดือดร้อน หลังราคาตลาดโลกปรับตัวสูง ย้อนกลับ “พิชัย” ลดดีเซล 5 บาท เสียรายได้ปีละ 2 แสนล้าน จะหาเงินจากไหน
นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน กล่าวถึง ผลประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่อนุมัติแนวทางการดูแลราคาดีเซลเพื่อบรรเทาผลกระทบประชาชน โดยเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของดีเซลบี7 จาก 1 บาท เหลือ 0.1 บาทต่อลิตร มีผลให้ราคาดีเซลบี 7 ลดลงทันทีลิตรละ 1 บาท และมีผล 5 ต.ค.นี้ ว่า สืบเนื่องราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นจากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมถึงแก๊ซธรรมชาติที่ปรับตัวสูงขึ้น และแม้โอเปคจะมีการประชุมเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตประมาณ 4 แสนบาร์เรลต่อวัน เพื่อตรึงราคาน้ำมันนั้นก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่ยังไม่สามารถหยุดยั้งการปรับราคาน้ำมันในช่วงนี้ได้ จึงเป็นเหตุจำเป็นที่รัฐบาลเข้ามาดูแลในส่วนของน้ำมันดีเซลบี 7 ซึ่งราคาทะลุไปถึง 30 กว่าบาทต่อลิตร และแม้ว่าจะมีการเชิญชวนให้ประชาชนหันมาใช้บี 10 แทนบี 7 ซึ่งมีราคาต่ำกว่า 30 บาท แต่ยังไม่เป็นที่นิยม เพราะยังพบปัญหาทางเทคนิคในการใช้งาน จึงเป็นเหตุผลที่รัฐบาลต้องเข้าไปดูแล เพื่อพยายามผลักดันราคาให้ต่ำกว่า 30 บาทในราคาระดับเดียวกับบี 10 ซึ่งใช้ได้กับรถในระดับเดียวกันและเป็นการลดความเดือดร้อนให้กับประชาชน
อย่างไรก็ตามนายสุพัฒน์พงษ์ กล่าวว่า แม้จะมีการปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของดีเซลบี7 แต่ในขณะนี้เงินกองทุนน้ำมันยังมีอยู่ประมาณ หมื่นกว่าล้านบาท ถ้าไม่เพียงพอสามารถกู้ยืมเงินเพื่อมาใช้ประโยชน์ตรงนี้ได้
นายสุพัฒน์พงษ์ วิเคราะห์ว่า สถานการณ์น้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น เกิดจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงเร็ว มีสภาพอากาศที่หนาวเย็นในหลายๆภูมิภาค ทำให้กระทบต่อการผลิตด้านพลังงานในสหรัฐอเมริกา รัสเซีย และในบางประเทศในยุโรป เช่น อังกฤษ ส่งผลทำให้ราคาค่าไฟฟ้าปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น 2-3 เท่า แต่ในส่วนของประเทศไทยยืนยันว่า ไม่มีผลกระทบต่อค่าไฟ เนื่องจากรัฐบาลได้ตรึงค่า FT จนถึงสิ้นปีอยู่แล้วและจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป
สำหรับเกษตรกรปาล์มน้ำมัน คาดว่า ผลผลิตปลายนี้อาจออกมาไม่มากนัก และปริมาณที่คำนวณจากบี6 เชื่อว่าสามารถรองรับกับผลิตผลของปาล์มน้ำมันที่ออกมาในช่วงโลซีซั่นได้ ส่วนผู้ประกอบการมีการซื้อน้ำมันปาล์มดิบไว้ก็สามารถส่งออกได้ เพราะราคาในต่างประเทศถือว่าสูงมากอยู่แล้ว และกระทรวงพาณิชย์ก็มีนโยบายส่งเสริมการส่งออกกำลังการผลิตส่วนเกินอยู่แล้ว
ส่วนกรณีที่ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ และ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นสูง ถ้าหากมีการเลือกตั้งโดยเร็วและถ้าพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล พรรคเพื่อไทยจะลดราคาน้ำมันดีเซลทันทีลิตรละ 5 บาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน นั้น นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ในปัจจุบันมีการใช้น้ำมันดีเซลประมาณ 60 ล้านลิตรต่อวัน หากจะลดราคาน้ำมันดีเซลลิตรละ 5 บาท ต้องใช้เงินถึง 300 ล้านบาทต่อวัน หากใช้ 1 เดือนต้องใช้เงินถึง 1 หมื่นล้านบาท และหากมีการใช้นำ้มันดีเซลต่อวันเต็มที่อาจถึง 100 ล้านลิตรต่อวัน ต้องใช้เงิน 1 เดือน สูงถึง 2 หมื่นล้านบาท “ก็ลองคิดดูว่า 1 ปีเต็มๆใช้เงินถึง 2 แสนล้านบาท แบบนี้พูดได้พูดง่าย แต่ต้องถามว่าหาเงินจากที่ไหน ยุติธรรมเพียงพอหรือไม่กับทุกๆฝ่าย มันต้องสมดุล เพราะวิธีการที่เราดำเนินการก็รักษาสมดุล” นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว.สำนักข่าวไทย