นายกฯ เร่งคุมโควิด เดินหน้ากระตุ้น ศก. เน้นสร้างสมดุล

กรุงเทพฯ 26 พ.ค. – นายกรัฐมนตรี เร่งควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 พร้อมเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เน้นสร้างความสมดุล เผยยอดสะสมการฉีดวัคซีนโควิด-19 รวม 3,024,313 โดสแล้ว


นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญในการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ด้วยการฉีดวัคซีนแบบปูพรมให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงสูงและศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านการลงทะเบียนตามช่องทางต่างๆ พร้อมเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความสมดุล โดยมีความคืบหน้าในการดำเนินมาตรการต่างๆ ดังนี้

  1. แผนการกระจายวัคซีนทั่วประเทศ ประชาชนทุกจังหวัดจะได้รับฉีดวัคซีน โดยปรับให้สอดคล้องกับปริมาณวัคซีนที่เข้ามา และสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้ รัฐบาลได้มีการเตรียมแผนรองรับในการดูแลรักษาประชาชนให้เพียงพอ ทั้งแพทย์ พยาบาล บุคลากรสาธารณสุข โรงพยาบาลสนาม เตียง อุปกรณ์ทางการแพทย์ ยา และเวชภัณฑ์ต่างๆ ด้วย ซึ่งมีแผนการฉีดวัคซีนแบบปูพรม เพื่อให้คนไทยและชาวต่างชาติในประเทศไทย จำนวนอย่างน้อย 50 ล้านคน ได้รับวัคซีนภายในปี 2564 ซึ่งในต่างจังหวัดจะมีจุดฉีดวัคซีน ทั้งในสถานพยาบาล โรงพยาบาลสนาม และศูนย์บริการต่างๆ รวม 1,475 แห่ง ส่วนกรุงเทพมหานคร มีจุดฉีดวัคซีนในโรงพยาบาล สถานพยาบาล และหน่วยงานต่างๆ 126 แห่ง และจุดฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาล 25 จุด กระจายทั่วพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการรับบริการฉีดวัคซีนได้สะดวกและรวดเร็วที่สุด สำหรับปัจจุบันยอดสะสมการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.-25 พ.ค.64 รวมทั้งสิ้น 3,024,313 โดสแล้ว

ทั้งนี้ หากคิดเป็นจำนวนโดสที่เข้ามาในประเทศไทยและได้รับการจัดสรรแล้ว บุคลากรการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วจำนวน 1,802,597 โดส คิดเป็นร้อยละ 57.28 ของจำนวนโดสทั้งหมดที่ฉีดแล้ว ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว 1,080,295 โดส คิดเป็นร้อยละ 34.33 ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และบุคคลที่มีโรคประจำตัว ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว 264,335 โดส คิดเป็นร้อยละ 8.40 ซึ่งจนถึงวันนี้พบผู้ที่มีอาการไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับวัคซีน ที่ได้รับการยืนยันจากคณะผู้เชี่ยวชาญแล้ว จำนวน 18 ราย


สำหรับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ประชาชนในกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันยอดสะสมการฉีดวัคซีน จนถึงวันที่ 25 พ.ค.64 รวมทั้งสิ้น 644,858 โดสแล้ว หากคิดเป็นจำนวนโดสที่ได้รับการจัดสรรและฉีดให้ประชาชนแล้ว บุคลากรการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วจำนวน 348,618 โดส คิดเป็นร้อยละ 54.06 ของจำนวนโดสทั้งหมดที่ฉีดแล้วใน กทม. ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว 242,030 โดส คิดเป็นร้อยละ 37.53 ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และบุคคลที่มีโรคประจำตัว ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว 54,210 โดส คิดเป็นร้อยละ 8.41

  1. มาตรการดูแลแคมป์คนงาน ราชทัณฑ์ และชุมชนแออัด โดยเร่งตรวจเชิงรุก คัดกรอง ฉีดวัคซีนปูพรมกลุ่มแคมป์คนงานก่อสร้าง หากผู้ติดเชื้อมีอาการระดับสีเขียว จะนำส่งรักษาที่โรงพยาบาลสนาม จ.สมุทรสาคร กลุ่มสีเหลือง มีศูนย์แรกรับ-ส่งต่อนิมิบุตร และสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี กรณีผู้ติดเชื้อในเรือนจำ โรงพยาบาลราชทัณฑ์ให้การดูแลผู้ติดเชื้อ ทั้งในระดับสีเขียวและสีเหลือง รวมทั้งการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่เรือนจำทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีโรงพยาบาลบุษราคัม ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเต็มรูปแบบ พร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ อาทิ เครื่องผลิตออกซิเจน เครื่องเอกซเรย์ ที่จะให้การดูแลรักษาผู้ป่วยระดับสีเหลืองและสีเขียว ทั้งนี้ รัฐบาลยืนยันจะดูแลผู้ป่วยทุกคนอย่างดีที่สุด บนหลักความเท่าเทียม
  2. ด้านการยับยั้งการแพร่ระบาดภายในประเทศ ด้วยมาตรการป้องกันและสกัดกั้นผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย นายกรัฐมนตรีได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งทหาร ตำรวจ และกองกำลังต่างๆ ให้เพิ่มความเข้มงวด และเพิ่มมาตรการป้องกันชายแดนอย่างเต็มที่ เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยเฉพาะที่ลักลอบเข้ามาตามช่องทางธรรมชาติ รวมถึงการเพิ่มมาตรการในการปฏิบัติ เช่น เพิ่มจุดเฝ้าระวังในพื้นที่ที่เป็นช่องทางธรรมชาติ ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ได้กำชับให้เพิ่มมาตรการการตรวจสอบพื้นที่อีกชั้นหนึ่ง โดยจะต้องมีการสกัดกั้น ตั้งจุดสกัดต่างๆ ให้มีความพร้อมในการตรวจสกัดการลักลอบเข้ามาในประเทศอย่างเข้มงวด ทั้งนี้ มีการตั้งจุดตรวจและจุดสกัด จำนวน 76 จุด และจุดตรวจทั่วประเทศ จำนวน 1,323 จุด รวมทั้งเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดตามจุดผ่านด่านทั่วประเทศ เพื่อเฝ้าระวังต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง (รวมทั้งยังได้รับความร่วมมือจากประชาชน แจ้งข้อมูลและเบาะแสการกระทำผิดกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 และศูนย์บริการประชาชน 1111 โดยมียอดจำนวนสะสมตั้งแต่ 7 ม.ค.-25 พ.ค.64 เกี่ยวกับบ่อนการพนัน 582 เรื่อง แรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมาย 48 เรื่อง การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 340 เรื่อง การร้องเรียน ร้องทุกข์ ขอความช่วยเหลือ สอบถามข้อมูล และเสนอความเห็น 211,964 เรื่อง โดยเรื่องทั้งหมดนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับไปดำเนินการแล้ว)
  3. มติคณะรัฐมนตรีล่าสุด ยังได้อนุมัติหลักการขยายเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนำเข้ายา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ต้านโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่บริจาคเป็นสาธารณกุศล โดยยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการนำเข้าสินค้าที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรค COVID-19 ได้แก่ ยา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ต้าน COVID-19 ที่บริจาคให้แก่สถานพยาบาลของทางราชการ หน่วยงานของรัฐ และองค์การหรือสถานสาธารณกุศล สำหรับการบริจาคตั้งแต่วันที่ 1-31 มีนาคม 2565 เพื่อสนับสนุนภาคเอกชนให้มีส่วนร่วมกับภาครัฐในการร่วมมือแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยรวม

นายอนุชา ยังกล่าวถึงการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ที่จัดทำงบประมาณโดยกำหนดกรอบวงเงินงบประมาณไว้ที่ 3.1 ล้านล้านบาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 นั้น รัฐบาลได้มีการตั้งวงเงินงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น เพื่อการเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ ยังมีกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีสำหรับการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามยุทธศาสตร์แผนแม่บทเฉพาะกิจ อาทิ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากภายในประเทศ (Local Economy) การปรับปรุงและพัฒนาปัจจัยพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ (Enabling Factors) ซึ่งจะช่วยเยียวยา ฟื้นฟูผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ได้เช่นกัน รวมถึง พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ที่ได้มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ซึ่งจะนำไปใช้เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และช่วยเหลือเยียวยา ชดเชยให้แก่ประชาชนทุกสาขาอาชีพ รวมถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 จึงขอให้มั่นใจได้ว่า ในปี 2564 และ 2565 รัฐบาลมีวงเงินเตรียมพร้อมสำหรับการดำเนินมาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเหมาะสม. – สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เพลิงไหม้ห้องพักคอนโดฯ หรูกลางเมืองพัทยา

เพลิงไหม้คอนโดมิเนียมหรูกลางเมืองพัทยา จ.ชลบุรี เจ้าหน้าที่ระดมรถน้ำควบคุมเพลิงได้ทัน ทำให้ไฟไม่ลุกลามห้องข้างเคียง

จับ “ใบเฟิร์น” อินฟลูฯสาวชื่อดัง โพสต์ชวนเล่นพนันออนไลน์

ตำรวจไซเบอร์ รวบ “ใบเฟิร์น กุลธาดา” อินฟลูฯ สาวแนวเซ็กซี่ ผู้ติดตามหลักล้าน แปะลิงก์เว็บพนันออนไลน์ เจ้าตัวยอมรับ ทำมาแล้ว 2-3 เดือน

ลิงลพบุรีแหกกรง กว่า 200 ตัว จ่าฝูงนำทีมบุกโรงพัก

ลิงลพบุรีกรงแตก เพ่นพ่านกว่า 200 ตัว จ่าฝูงนำทีมบุกโรงพักท่าหิน ตำรวจปิดประตูหน้าต่างวุ่น ล่าสุดกลับมากินอาหารในกรงแล้วกว่า 100 ตัว กรมอุทยานฯ เร่งลุยจับ คาดใช้เวลา 2-3 วัน

ข่าวแนะนำ

คุมตัวสาวใหญ่โหดฆ่าตัดนิ้วชิงทรัพย์ทำแผนฯ

ตร. คุมตัวสาวใหญ่โหด ลวงเพื่อนฆ่าตัดนิ้วชิงทรัพย์ ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เจ้าตัวสำนึกผิด ฝากขอโทษญาติผู้เสียชีวิต ยอมรับทำเพราะติดหนี้พนันออนไลน์

Drone video captures severe flooding caused by super typhoon Man-Yi in the Philippines

ฟิลิปปินส์น้ำท่วมหนัก หลังไต้ฝุ่น “หม่านหยี่” ถล่ม

มะนิลา 18 พ.ย. – ฟิลิปปินส์เกิดน้ำท่วมรุนแรงในหลายพื้นที่ หลังจากซูเปอร์ไต้ฝุ่นหม่านหยี่ (Man-yi) พัดถล่มเกาะลูซอน ช่วงสุดสัปดาห์ เป็นไต้ฝุ่นลูกที่ 6 ในรอบ 1 เดือน ไต้ฝุ่นขึ้นฝั่งด้วยความเร็วลมสูงสุด 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้เกิดคลื่นสูง 7 เมตรบริเวณริมชายฝั่ง ส่งผลกระทบประชากรกว่า 760,000 คน และทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะที่จังหวัดนูเอวาเอซีฮา ทางตอนกลางของเกาะลูซอน ที่มีน้ำท่วมสูงเฉลี่ยเกือบ 1 เมตร นอกจากนี้ยังทำให้เกิดดินถล่มและสาธารณูปโภคพังเสียหายมากมาย ประชาชนมากกว่า 1 ล้านคนต้องอพยพไปอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว ขณะนี้ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ พายุหม่านหยี่เป็นพายุไต้ฝุ่นลูกที่ 6 ที่พัดถล่มฟิลิปปินส์ในช่วง 1 เดือน ทั่วทั้งประเทศต้องตื่นตัวเพื่อรับมือภัยพิบัติด้วยมาตรการต่าง ๆ.-812(814).-สำนักข่าวไทย

ฆ่าตัดนิ้ว

เปิดปากสารภาพฆ่าตัดนิ้วแม่ยายอัยการ ชิงทรัพย์ล้างหนี้พนัน

หญิงวัย 56 ปี เปิดปากสารภาพฆ่าตัดนิ้วชิงทรัพย์แม่ยายอัยการ ก่อนนำทรัพย์สินไปขายใช้หนี้พนัน ตำรวจคุมตัวไปตามหาทรัพย์สินของกลาง อ้างลงมือก่อเหตุคนเดียว