กรุงเทพฯ 5 พ.ค.- สปสช.เผยสายด่วน 1330 จัดหาเตียงให้ผู้ป่วยโควิดแล้วกว่า 2,600 ราย ระบุต้องหาเตียงให้ได้ภายใน 24 ชั่วโมง และลดจำนวนผู้ป่วยที่ค้างอยู่ในระบบให้เร็วที่สุด ย้ำคนไทยกลุ่มเสี่ยงตรวจฟรี รักษาฟรีไม่ว่าจะไปโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงการดำเนินงานของสายด่วน 1330 ในการประสานจัดหาเตียงแก่ผู้ป่วยโควิด-19 ว่า บทบาทของ 1330 คือการสนับสนุนสายด่วนของกรมการแพทย์ และศูนย์เอราวัณ กทม. เนื่องจากการระบาดครั้งนี้ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยอยู่ใน กทม. ทำให้บางครั้งโรงพยาบาลที่รับตรวจหาเชื้อเตียงเต็ม ไม่สามารถรับผู้ป่วยเพิ่มได้ ก็สามารถโทรมาที่สายด่วน 1330 เพื่อให้ประสานจัดหาเตียงให้ ซึ่งที่ผ่านมาสายด่วน 1330 สามารถช่วยประสานหาเตียงให้ผู้ป่วยได้ประมาณวันละ 100 ราย ยอดรวมนับตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.64 เป็นต้นมา กว่า 2,600 ราย
“ตอนนี้เราขยายคู่สายเพิ่มจาก 300 คู่สาย เป็น 600 คู่สาย มีอัตราสายหลุดประมาณ 1% แต่ตั้งเป้าลดลงให้เหลือ 0% รวมทั้งปรับกระบวนการทำงาน โดยจะแบ่งเจ้าหน้าที่เป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ คนที่รับสายจากผู้ป่วย ซักประวัติ สอบถามอาการเบื้องต้น จากนั้นจะมีอีกกลุ่มโทรกลับไปประสาน เพื่อคัดกรองว่าผู้ป่วยเป็นกลุ่มอาการระดับสีอะไร จากนั้นจะมีอีกกลุ่มที่คอยประสานจัดหาเตียงให้ ซึ่งการจัดระบบลักษณะนี้ ทำให้การทำงานรวดเร็วขึ้น” นพ.จเด็จ กล่าว
นพ.จเด็จ กล่าวว่า ในส่วนของการจัดหาเตียงนั้น สปสช.จะพยายามจัดหาให้ผู้ป่วยเข้ารับการดูแลในโรงพยาบาลให้ได้แบบวันต่อวัน หรือภายใน 24 ชั่วโมง เช่น ถ้าได้รับแจ้งมาช่วงหัวค่ำหรือกลางคืน ก็จะนัดแนะให้ผู้ป่วยเตรียมตัวแล้วประสานส่งรถไปรับตัวที่บ้านตั้งแต่เช้า เพื่อให้ถึงโรงพยาบาลก่อน 09.00 น. รวมทั้งยังมีการส่งตัวในระหว่างวันด้วย
“การขอเตียงจะประสานกับกรมการแพทย์ รวมทั้งโทรประสานโดยตรงกับโรงพยาบาลเอกชน ความยุ่งยากก็คือ อยู่ๆ จะบอกว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อแล้วเอาเข้าโรงพยาบาลเลยไม่ได้ มันต้องเอาผลตรวจมาแสดงก่อน และแต่ละโรงพยาบาลมีความต้องการเอกสารยืนยันผลการตรวจไม่เหมือนกัน หรือมีความเข้มงวดในการพิจารณารับหรือไม่รับตัวต่างกัน บางครั้งผู้ป่วยก็บอกแค่ว่าตัวเองติดเชื้อ แต่ไม่มีเอกสารผลตรวจอะไรเลย ทีมจัดหาเตียงก็ต้องไปค้นข้อมูลจากกรมควบคุมโรค ต้องประสานงานกันเยอะ ทำให้ช้านิดหน่อย ต้องใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง/ราย เพื่อให้ได้ตามข้อกำหนดของแต่ละโรงพยาบาล แต่ส่วนใหญ่ถ้าเป็นกลุ่มที่มีอาการระดับสีเขียว ก็จะจัดหาเตียงได้เร็ว แต่ถ้ากลุ่มที่อาการเปลี่ยนระดับจากสีเขียวมาเป็นสีเหลือง หรือสีเหลืองมาเป็นสีแดง ก็จะนานหน่อย เพราะต้องจัดระบบส่งต่อและเตรียมให้ได้รับการรักษาดีที่สุด” นพ.จเด็จ กล่าว
นพ.จเด็จ กล่าวต่อไปว่า สำหรับผู้ป่วยที่ให้สายด่วน 1330 ประสานหาเตียงให้ ต้องขอความร่วมมือว่า อาจจะเลือกสถานที่ไม่ได้ อาจจะไม่ได้อยู่ใกล้บ้าน หรืออยากได้ห้องพิเศษหรืออาหารพิเศษก็อาจจะไม่ได้ เพราะสถานการณ์ตอนนี้ไม่ปกติ เตียงในโรงพยาบาลก็มีความตึงตัว ดังนั้น ขอให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาจัดการต่างๆ ให้ตามความเหมาะสม ขณะเดียวกันก็ต้องขอความร่วมมือจากประชาชนด้วยว่า ขอให้รักษาความเข้มข้นในการปฏิบัติตามมาตรการใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง และถ้าไม่จำเป็นขอให้อยู่บ้าน มาตรการเหล่านี้จะช่วยให้จำนวนผู้ป่วยไม่เพิ่มขึ้นเร็วจนโรงพยาบาลรับไม่ไหว
“ในส่วนของ สปสช.เอง เรามีบทบาทในการสนับสนุนงบประมาณ ไม่ทำให้เรื่องค่าใช้จ่ายเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงบริการ อย่างเรื่องค่าตรวจคัดกรองของคนไทยทั้งประเทศ สปสช.ก็สนับสนุน ดังนั้น คนไทยที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสามารถไปตรวจได้ ทั้งที่โรงพยาบาลรัฐและเอกชน โดยไม่เสียค่าบริการ และถ้าตรวจแล้วพบว่าติดเชื้อ ก็จะได้รับการรักษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเช่นกัน ไม่ว่าจะอยู่ในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel โดยเฉพาะผู้ที่รักษาในโรงพยาบาลเอกชน ขอย้ำว่า อัตราค่ารักษาต่างๆ สปสช. กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และโรงพยาบาลเอกชน ได้ตกลงกันตั้งแต่ปีก่อนแล้ว แต่อาจจะมีปัญหาที่หน้างานที่เข้าใจไม่ตรงกัน หรืออาจร้องเรียนว่า สปสช.จ่ายเงินช้า จึงมีการเรียกเก็บจากผู้ป่วยเอาไว้ก่อน” นพ.จเด็จ กล่าว
อย่างไรก็ดี ขณะนี้ สปสช.ได้ปรับระบบการจ่ายเงินให้เร็วขึ้นจากทุก 1 เดือน เป็นทุก 2 สัปดาห์ รวมทั้งมีสายด่วนให้โรงพยาบาลโทรมาปรึกษาเรื่องการเบิกรายการต่างๆ ทั้งนี้ก็เพื่อให้โรงพยาบาลเอกชนมีสภาพคล่องที่ดี และไม่เกิดการเรียกเก็บเงินจากผู้ป่วยนั่นเอง.-สำนักข่าวไทย