กทม.23 เม.ย.- สมาคมยิมนาสติกพาผู้ปกครองแจ้งความเอาผิดนายทหารเรือแอบถ่ายรูปนักกีฬา ลักษณะอนาจารขณะแข่งขันคัดเลือกทีมชาติ
ดร.กุสุมาลย์ ประเสริฐศรี อุปนายกสมาคมกีฬายิมนาสติกแห่งประเทศไทย พร้อมตัวแทนผู้ปกครองนักกีฬาเยาวชนยิมนาสติกกว่า10 คน เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ให้ดำเนินคดีและติดตามความคืบหน้ากรณีเรือตรีอชิตะ ก่อเหตุแอบถ่ายภาพบุตรหลานนักกีฬายิมนาสติกระหว่างการแข่งขันคัดตัวทีมชาติ ว่าคดีนี้มีความคืบหน้าอย่างไร
อุปนายกสมาคมกีฬายิมนาสติกฯ ระบุว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นครั้งแรกช่วงเดืองสิงหาคม การแข่งขันที่ จ.สุโขทัย เหตุการณ์ในขณะนั้น ผู้ปกครองพบความผิดปกติ จึงขอเข้าไปตรวจสอบกล้องของนายทหารเรืองคนดังกล่าว แต่ได้รับการปฏิเสธและหลบหนีไป
จากนั้นผู้ปกครองได้นำเรื่องแจ้งไปยังสมาคมฯเพื่อให้ช่วยกันเฝ้าระวังพฤติกรรมของชายแอบถ่ายภาพนักกีฬา กระทั่งต่อมาเดือนกันยายนที่ อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ มีผู้ปกครองสังเกตเห็นชายคนหนึ่งในลักษณะแอบถ่ายภาพนักกีฬาซึ่งคล้ายกับเหตุการณ์ในเดือนสิงหาคม จึงเข้าไปขอตรวจสอบกล้อง แต่ชายรายดังกล่าวกลับไม่ยินยอมพร้อมทำร้ายร่างกายผู้ปกครองและพยายามหลบหนีแต่ทางผู้ปกครองและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ช่วยกันจับตัวไว้ได้ และส่งตัวมาแจ้งความที่ สน.ปทุมวัน ซึ่งในขณะนั้นพนักงานสอบสวนระบุว่าไม่เข้าข่ายกระทำความผิดอนาจารจึงให้ผู้ปกครองลงบันทึกประจำวันไว้
แต่ต่อมาทั้ง 2 ฝ่ายได้นัดเจรจาไกล่เกลี่ยคดี แต่นายทหารเรือไม่ให้ความร่วมมือกลับให้พ่อซึ่งเป็นนายแพทย์ ไปแจ้งความที่สน.ปทุมวัน เพื่อดำเนินคดีกับผู้ปกครองของนักกีฬาใน 3 ข้อหา คือทำร้ายร่างกาย ทำให้เสียทรัพย์และข่มขืนจิตใจ
วันนี้ทางผู้ปกครองนักกีฬาเกรงว่าจะไม่ไปรับความเป็นธรรม จึงร้องเรียนผ่านสมาคมเพื่อเข้าแจ้งความ
แม่ของนักกีฬาผู้เสียหายอายุ 13 ปี เปิดเผยว่า ตนเห็นภาพที่นายทหารเรือถ่ายไว้ พบว่ามีลักษณะจงใจถ่ายภาพที่ไม่เหมาะสม ตนในฐานะพ่อแม่รู้สึกเสียใจ และรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่ในฐานะลูกซึ่งยังเป็นเด็ก คงไม่ทราบว่าความเสียหายนี้จะส่งผลกระทบอะไรในอนาคตบ้าง แต่ถึงอย่างไรทางครอบครัวยังมั่นใจในกีฬายิมนาสติกและยังสนับสนุนลูกต่อไป นอกจากนี้ ทางผู้ปกครองได้ร่วมมือกับทางสมาคมฯเพื่อช่วยกันสอดส่องไม่ได้เกิดเหตุแบบนี้ขึ้นอีก
ด้านพ.ต.ต. เวียงแก้ว วุภากสรณ์ พนักงานสอบสวน สน.ปทุมวันกล่าวว่า ต้องตรวจสอบรายละเอียดตามที่ผู้ร้องทุกข์มาแจ้งความไว้ก่อน จึงจะยำไปพิจารณาว่าจะเข้าข่ายความผิดใด.-สำนักข่าวไทย