กรุงเทพฯ 5 เม.ย. – บลจ.ทิสโก้ ประเมินเป้าดัชนีหุ้นไทยปีนี้ที่ 1,600 จุด แนะนักลงทุนบริหารความเสี่ยง ปรับกลยุทธ์รับมือโควิด – 19 และมีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีสิ้นปีหากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดีกว่าคาด
นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกรวมถึงประเทศไทยต่างได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด -19 แพร่ระบาด โดยปัจจัยลบดังกล่าวได้กดดันให้ผลตอบแทนรวมตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET TRI) ติดลบราวร้อยละ 5.24 สาเหตุเพราะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรเศรษฐกิจ และมีสัดส่วนหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากวิกฤตดังกล่าวค่อนข้างน้อย อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาเดียวกันนี้ กองทุนหุ้นไทยของบลจ.ทิสโก้หลายกองทุน กลับยังสามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวก สวนทางกับตลาดโดยรวมได้
นายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา ผู้บริหารสายงานจัดการลงทุน บลจ.ทิสโก้ เปิดเผยว่า กลยุทธ์การบริหารจัดการลงทุนที่ทำให้ประสบความสำเร็จมาจากการให้ความสำคัญกับ 3 เรื่อง คือ 1. บริหารความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม 2. ปรับกลยุทธ์ได้ทันสถานการณ์ลงทุน และ 3. การคัดเลือกหุ้นที่ดี สำหรับมุมมองการลงทุนหุ้นไทยในปีนี้ ทีมจัดการลงทุนประเมินเป้าดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีไว้ที่ระดับ 1,600 จุด และมีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีสิ้นปีหากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดีกว่าคาด ดังนั้น หากหุ้นไทยเกิดการปรับฐานก็เป็นโอกาสในการลงทุนและปรับพอร์ตการลงทุน โดยผู้ลงทุนอาจเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนีด้วยการเลือกลงทุนในกองทุนที่มีกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจ และมีผลตอบแทนในอดีตที่ดีอย่างต่อเนื่อง
ด้านปัจจัยบวกของหุ้นไทยในปีนี้ บลจ.ทิสโก้มองว่าตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนหุ้นวัฏจักรเศรษฐกิจค่อนข้างมาก ซึ่งหุ้นเหล่านี้จะได้รับประโยชน์ในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว จึงมีส่วนเสริมให้ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ส่วนปัจจัยลบมี 2 ปัจจัยคือ 1. การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยหากอัตราดอกเบี้ยมีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจะส่งผลลบต่อค่าเงินในกลุ่มประเทศเกิดใหม่รวมทั้งตลาดหุ้นไทย ซึ่งทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนลดลง และ 2. ปัจจัยในประเทศ โดยเฉพาะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการกระจายวัคซีนป้องกัน COVID -19 ที่ต้องจับตาว่าจะดำเนินการได้ดีเพียงใด เพราะส่วนนี้จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต . – สำนักข่าวไทย