กรุงเทพฯ 7 มี.ค. – เครือข่ายองค์กรด้านข้อมูลฯ เพื่อขับเคลื่อนสังคม ชี้รัฐเปิดเผยข้อมูลสาธารณะได้ดีขึ้น เเต่ยังไม่เป็นไปตามเป้า เลี่ยงให้ข้อมูลด้านการเมือง ทั้งที่ควรเปิด โดยที่ประชาชนไม่ต้องร้องขอ นักกฎหมายย้ำกฎหมายไม่ใช่ข้ออ้างเพื่อปกปิดข้อมูลของรัฐ ด้านนักวิชาการติงโครงสร้างของรัฐไม่ออกเเบบให้เปิดเผยข้อมูล มองความลับเป็นมูลค่า เเต่ไม่ช่วยขับเคลื่อนชาติ เเนะหากอยากพัฒนาประเทศ เริ่มสร้างการมีส่วนร่วม เปิดข้อมูลให้ประชาชนร่วมตรวจสอบ
เครือข่ายองค์กรด้านข้อมูลและเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนสังคม จัดงานเปิดข้อมูลรัฐสู่สาธารณะ เพื่อประชาธิปไตย” (Open Data for Democracy) เนื่องในวันข้อมูลเปิดสาธารณะ (International Open Data Day) ที่จัดขึ้นพร้อมกันทั่วโลก เพื่อเฉลิมฉลองเเละเป็นโอกาสที่ประชาชนจะได้เห็นถึงความสำคัญเเละประโยชน์ของข้อมูลสาธารณะ นำไปสู่การส่งเสริมให้เกิดการรับนโยบายข้อมูลเปิดไปใช้ทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชน เเละภาคประชาสังคม โดยข้อมูลสาธารณะ ถือเป็นทรัพยากรสำคัญในยุคดิจิทัล ยิ่งในปัจจุบันมีการเเพร่ระบาดของโควิด19 ประชาชนใช้ช่องทางออนไลน์ในการติดต่อ รับรู้ ใช้เเละเเลกเปลี่ยนข้อมูลกันมากขึ้น ข้อมูลสาธารณะโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลของภาครัฐ จึงถือเป็นเเหล่งข้อมูลหลักในการช่วยผลักดันให้เกิดการรับรู้ในวงกว้างเเละสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน รวมถึงสร้างความโปร่งใสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ
น.ส.ธนิสรา เรืองเดช ผู้บริหารบริษัท พันซ์อัพ เวิล์ด จำกัดเเละโครงการ ELECT ในฐานะตัวเเทนเครือข่ายองค์กรด้านข้อมูลและเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนสังคม กล่าวเปิดงานว่า ข้อมูลเป็นส่วนสำคัญในการสื่อสารเเละถกเถียงอย่างสร้างสรรค์ในสังคม งานครั้งนี้จึงเป็นการรวมตัวขององค์กรที่ทำงานด้านข้อมูลเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลของภาครัฐ ได้มาเเลกเปลี่ยนเพื่อหาทางออกให้ไทยสร้างสังคมที่ Open Data ช่วยขับเคลื่อนประชาธิปไตยได้จริง จึงจัดงานขึ้นภายใต้เเนวคิด “Open Data for Democracy” เนื่องจากที่ผ่านมาประชาชนเเสดงความคิดเห็นเเละสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย เเต่ปัญหาที่เจอในทุกวันนี้คือการเข้าถึงข้อมูลสาธารณะของภาครัฐ ที่บางหน่วยงานยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูล เปิดเผยไม่ครบถ้วนหรือเปิดเผยเเล้วนำไปใช้งานต่อได้ยาก
น.ส.ธนิสรา กล่าวต่อว่า ในฐานะคนที่ทำ Civic Tech (เทคโนโลยีภาคประชาชน) มองว่าขั้นแรกของสังคมประชาธิปไตย คือทำอย่างไรให้การมีส่วนร่วมเกิดขึ้นง่ายที่สุด นั่นก็คือการที่รัฐเปิดเผยข้อมูลในรูปแบบที่สมบูรณ์และนำไปใช้ต่อง่ายที่สุด เพื่อให้ประชาชนติดตาม ตรวจสอบ และช่วยคิดช่วยทำต่อได้ เพื่อนำไปสู่การมีส่วนร่วมในระดับต่อๆ ไป เราเชื่อว่า Open Data ก็เหมือนประชาธิปไตยในประเทศนี้ ที่ต้องใช้เวลาสร้างเเละขับเคลื่อน แต่ยิ่งเป็นการวิ่งระยะไกล จึงจำเป็นที่เราต้องเริ่มวันนี้ ช่วยให้สังคมดีขึ้นในอนาคต”
ภายในงานได้จัดเวทีเสวนาใน 2 หัวข้อ “ความฝันเเละความหวัง หาก Open Data ช่วยขับเคลื่อนประชาธิปไตยได้จริง” โดย Mr. Lee Long Hui ผู้ช่วยบรรณาธิการ (Assistant Editor) จาก Malaysiakini ประเทศมาเลเซีย กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมงานครั้งนี้ สำหรับสถานการณ์ Open data ของประเทศมาเลเซีย เริ่มมีการพูดถึงมากขึ้นในช่วงการเลือกตั้งในปี 2018-2019 เเต่ขณะเดียวกันปัจจุบันยังมีอุปสรรคในการขับเคลื่อนอยู่มาก เนื่องจากมีการเปลี่ยนรัฐบาลในปี 2020 ทำให้มีข้อจำกัดอยู่มากในการเปิดเผยข้อมูล
Mr. Lee Long Hui กล่าวต่อว่า สำหรับตนการเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐเป็นสิ่งสำคัญ ช่วยให้ภาครัฐเอง ภาคเอกชน เเละประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการออกเเบบประเทศ อย่างประเทศมาเลเซีย ที่ผ่านมาข้อมูลช่วยให้ประชาชนเข้าถึงประเด็นสำคัญทางการเมืองในประเทศ อย่างกรณีที่ครอบครัวของ Najib Razak อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ใช้ทรัพย์สินสาธารณะเพื่อแสวงหาและได้รับมาซึ่งประโยชน์ส่วนตัว การเข้าถึงข้อมูลของรัฐก็สามารถทำให้ภาคประชาชนรับรู้เรื่องราวและใช้ข้อมูลเพื่อต่อสู้เรียกร้องในเรื่องนี้ได้ และการต่อสู้ดังกล่าวกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลของ Najib Razak ล้มในเวลาต่อมา / การติดตามนโยบายของพรรคต่าง ๆ ว่าสามารถดำเนินการตามที่ให้สัญญาไว้หรือไม่ / การตรวจสอบใช้งบประมาณของประเทศ ขณะที่ภาคประชาชนเองก็ได้นำเสนอประเด็นปัญหาที่ดินให้รัฐได้รับรู้เเละนำไปสู่การเเก้ปัญหา
เเต่อย่างไรก็ตามสถานการณ์ Open data ในมาเลเซียยังไม่ได้มีประสิทธิภาพมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะประเทศไทย ดังนั้นความฝันเเละความหวังของตนที่อยากให้เกิดขึ้นในปัจจุบัน คืออยากให้รัฐเปิดเผยข้อมูลสาธารณะมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องข้อมูลโควิด 19 ในประเทศ ให้ stakeholder ได้เอาข้อมูลไปใช้
ด้านนางอรพิณ ยิ่งยงพัฒนา บรรณาธิการบริหารไทยรัฐออนไลน์ กล่าวว่า การเปิดเผยข้อมูลนั้น นอกจากจะเป็นการตรวจสอบรัฐบาลและเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประชาธิปไตยแล้ว ยังเป็นการกระตุ้นสื่อว่า ถ้ามีข้อมูลสำคัญก็ไม่ควรปิดกั้นตัวเอง แต่ต้องนำเสนอข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งการเปิดข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสามารถทำให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อเเก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ ในฐานะที่อยู่ในแวดวงคนทำงาน Data ตนมีหลักเกณฑ์ที่ใช้ประเมินการเปิดเผยข้อมูล 3 ประการ คือข้อมูลต้อง Timely (ทันสมัยและทันต่อเวลา) Accessible (เข้าถึงได้ง่ายและเปิดในรูปแบบที่นำไปใช้ต่อยอดได้) และคำนึงถึงเรื่อง Data Aggregation (เปิดในระดับที่นำไปวิเคราะห์ต่อได้) ซึ่งพอมาดูตัวอย่างเว็บไซต์ DGA ของภาครัฐ ก็จะเห็นปัญหา เช่น มีข้อมูลที่ว่าด้วยการคมนาคมของประชาชนในปี 2562 ซึ่งถูกอัปเดตในปี 2563 ซึ่งเมื่อไม่ทันต่อเวลา จะวิเคราะห์ข้อมูลได้ทันท่วงทีได้อย่างไร หรือการที่ภาครัฐชอบ upload หนังสือเอกสารทั้งเล่มลงเว็บไซต์ ซึ่งอ่านไม่สะดวก แต่อย่างไรก็ตาม อาจพูดได้ว่าเรามาไกลพอสมควรในเรื่องการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร เพราะถ้าเป็นสมัยก่อนเรื่องนี้คงทำได้ยากกว่านี้ อาจต้องไปขอดูที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ เพียงแต่อนาคตก็ต้องพัฒนากันต่อไป
ตนเชื่อว่า ข้อมูลและข้อเท็จจริงสามารถเอามาใช้วิเคราะห์สถานการณ์ได้ อย่างเช่น เรื่องฐานข้อมูลสิทธิและเสรีภาพ ของ iLaw ที่แสดงให้เห็นความผิดเพี้ยนของกฎหมาย และความไม่เข้าใจของผู้บังคับใช้กฎหมาย ในฐานะที่ตัวเองเคยทำเรื่องแนวนี้ ขอเล่าว่าการหาข้อมูลมีความยากมาก ต้องไปนั่งค้นฐานข้อมูลของศาลอาญาเพื่อไล่เช็คหมายเลขคดีดำไปทีละกรณี เพื่อหารูปแบบคดี ซึ่งทำให้เห็นว่าหน่วยงานรัฐใช้ พรบ. คอมพิวเตอร์ ไปกับคดีหมิ่นประมาทมาก ซึ่งถือว่าผิด concept กฎหมาย หรืออย่างเรื่องการทำเว็บไซต์ vote 62 ที่ประชาชนอยากรู้ผลเลือกตั้งแบบ real time ซึ่งต้องรวดเร็ว ณ ตอนนั้นก็ต้องข้อมูลหาเยอะมาก เพราะคิดว่า กกต. ไม่น่ามีประสิทธิภาพเพียงพอในการ provide ข้อมูลแบบ real time นำมาสู่การสร้างฐานข้อมูลเอง โดยสร้างหน้าเว็บไซต์ให้ประชาชนสามารถช่วยกันกรอกคะแนนผลเลือกตั้ง และสามารถ upload รูปภาพประกาศคะแนนเลือกตั้ง เพื่อใช้ตรวจเช็คความถูกต้อง
ขณะที่นายอิสร์กุล อุณหเกตุ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า หากจะพัฒนา Open Data ในไทยให้ดีขึ้นได้ ต้องเริ่มออกแบบโครงสร้างพื้นฐานของข้อมูล (data infrastructure) ให้ชัดเจนก่อน เมื่อพูดถึง Open data เราจะนึกถึงคน 2 กลุ่ม คือคนอยากได้ข้อมูลเเละคนที่มีข้อมูล ซึ่งเเบ่งความสัมพันธ์ของคน 2 กลุ่มได้ 4 ประเภท ได้แก่ Hierarchy (ลำดับชั้น) ถ้าอยากได้ข้อมูลต้องไปขอผ่านกฎหมายหรือพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารพ.ศ.2540 / Market(ตลาด) ข้อมูลเปรียบเป็นสินค้าชิ้นหนึ่ง หากอยากได้ต้องใช้เงินซื้อ ยกตัวอย่างข้อมูลบัตรเครดิต / Network (เครือข่าย) มีเจ้าของข้อมูลร่วมกัน หากอยากได้ให้มาเเชร์ข้อมูลเเลกเปลี่ยนซึ่งกันเเละกัน / เเละBazar (ตลาดนัด) คือการเอาข้อมูลมากองรวมกัน ใครอยากได้ข้อมูลใดก็หยิบไปใช้ หากเราอยากให้ข้อมูลเปิด เราไม่ควรจำกัดเจ้าของของข้อมูล ยกตัวอย่างหากอยากให้ Open government data ภาครัฐก็ควรเปิดเผยข้อมูลสาธารณะออกมาทั้งหมด โดยที่ประชาชนไม่ต้องร้องขอ ขณะเดียวกันการเปิดข้อมูลอย่างเดียวไม่เพียงพอ รัฐต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อการตรวจสอบข้อมูลที่เปิดเผยออกมา โดยการทำ Platform รับฟังความคิดเห็น เเละเมื่อประชาชนเเสดงความคิดเห็นไปเเล้ว รัฐได้ทำการเเก้ไขเเละเเสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนั้นๆอย่างไร ก็ควรบอกให้ประชาชนทราบ ถึงจะพูดได้ว่า Open data จะนำไปสู่ประชาธิปไตยในประเทศได้ เพราะประชาชนตรวจสอบรัฐบาลได้จริง
สำหรับสถานการณ์Open data ไทยในปัจจุบันมีการพัฒนามากขึ้น เมื่อเทียบกับ 5 ปีก่อน(open data barometer2016) ที่ไทยติดอันดับที่ 53 ของโลก เเต่ก็ถือว่ายังได้คะเเนนที่น้อย เนื่องจากเปิดเผยมากขึ้นก็จริง เเต่ยังไม่เพียงพอ ความหวังที่กำลังเกิดขึ้นคือ ร่างพระราชบัญญัติข้อมูลสาธารณะที่กำลังมีการพิจารณากันอยู่ หากออกมาได้ก็อาจจะทำให้ไทยมีการพัฒนาเรื่อง Open data ได้ดียิ่งขึ้น
ส่วน ดร.พีรพัฒ โชคสุวัฒนสกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ด้วยโจทย์ของการประกาศใช้พรบ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ก็อาจทำให้เกิดข้อพิจารณาขึ้นได้ แต่จริง ๆ แล้วหลักการว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้นคือ “เปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น” ซึ่งถูกระบุอยู่ในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน แต่ก็ต้องยอมรับว่าในทางปฏิบัติไม่เป็นเช่นนั้น โดย PDPA ก็เป็นส่วนหนึ่งในการแสดงอาการของโรคนี้ ส่วนเรื่องการเข้าถึงข้อมูล เราก็คงเห็นปัญหากันอยู่แล้ว อย่าว่าแต่เรื่อง Machine Readable เลย คนยังไม่ Readable ด้วยซ้ำ ได้ไฟล์ PDF มา ก็ต้องเอาไฟล์มาแปลง 3-4 รอบ กว่าจะสามารถใช้ได้ ซึ่งแม้จะมี PDPA รัฐก็มีหน้าที่ต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ซึ่งหากมีประเด็นที่ต้องพิจารณา ก็ต้องดูเป็นกรณีไป ไม่ใช่ว่าเช็คแล้วเป็นข้อมูลส่วนบุคคลก็ไม่เปิดเผยหมด ซึ่งจริง ๆ แล้วรัฐต้องมีฐานข้อมูลในการประมวลผลข้อมูลข่าวสาร ซึ่งพรบ. รัฐบาลดิจิทัล ก็กำหนดให้รัฐต้องมีหน้าที่แล้ว และมีบทบัญญัติที่บอกว่า ต้องพิจารณา พรบ. ข้อมูลข่าวสาร ด้วย
สำหรับประเด็นพิจารณาเรื่องข้อมูลข่าวสารบุคคล ก็ขอบอกว่ามีช่องทางตามกฎหมายให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารได้มาก เพราะตามหลักการแล้ว อะไรที่ไม่ใช่ข้อยกเว้นตามกฎหมายก็ต้องถูกเปิดเผยได้ ซึ่งหากถามว่ารัฐไทยถามต้องทำอย่างไร รัฐก็มีวิธีการในเรื่องนี้หลายประการ เช่น การชั่งน้ำหนักประโยชน์สาธารณะและการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล อาจแจ้งกลับไปหาเจ้าของข้อมูล เมื่อมีการเปิดเผยข้อมูล หรือการ Anonymization ข้อมูล หรือการทำให้ข้อมูลส่วนตัวกลายข้อมูลเป็นนิรนาม ดังนั้นแล้ว PDPA จึงเป็นแค่ส่วนหนึ่งในมาตรการที่รัฐต้องพิจารณาเพื่อคุ้มครองสิทธิประชาชน ไม่ใช่เป็นเครื่องมือในการปกปิดข้อมูลข่าวสาร รัฐยังจำเป็นต้องใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อดำเนินการตามหลักการว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ไม่ว่าจะใช้การชั่งน้ำหนักประโยชน์สาธารณะและการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล หรือการ Anonymization ข้อมูล เป็นต้น
ซึ่งหากรัฐอ้างว่า มี PDPA แล้ว จึงไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ในแง่เนื้อหา ถือว่าผิดตั้งแต่เริ่มต้น เพราะ PDPA มีเพื่อให้รัฐพิจารณาเรื่องการคุ้มครองสิทธิของประชาชน และเพื่อให้รัฐใช้ข้อมูลข่าวสารมากขึ้น โดยหลักการของ PDPA คือการคุ้มครอง Privacy จะทำอย่างไรไม่ให้การใช้ข้อมูลไปกระทบสิทธิส่วนบุคคล ส่วน พรบ. ข้อมูลข่าวสารก็มีระบุเรื่องนี้เช่นกัน ที่ว่าต้องมีการพิจาณาเรื่องความยินยอม แต่สุดท้ายหากเป็นประเด็นพิจารณาเรื่องข้อมูลส่วนบุคคล ก็ต้องดูใน PDPA เพราะมีมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิที่สูงกว่า ซึ่งในท้ายที่สุดหากจะไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร รัฐก็มีหน้าที่และภาระต้องพิสูจน์ว่าเหตุใดจึงไม่เปิดเผย เข้าข้อยกเว้นใดตามกฎหมาย ไม่ใช่ให้ประชาชนเป็นผู้มีภาระการพิสูจน์
ขณะเดียวกัน ในหัวข้อเสวนา “เปิดเผย โปร่งใส สร้างประชาธิปไตยไทยผ่าน Open Government” ผศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า คุณภาพของ Open Government data. – สำนักข่าวไทย