กรุงเทพฯ 23 ก.พ. – สภาพัฒน์ฯ เผยภาวะสังคมไทย ไตรมาส 4 ปี 63 ปรับตัวดีขึ้น การจ้างงานเพิ่มขึ้น ว่างงานลดลง ส่วนหนี้สินครัวเรือน แตะร้อยละ 86.6 ต่อจีดีพี ภาพรวมทั้งปี 63 ภาวะสังคมแย่ลงจากโควิด-19 เผยเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท เบิกจ่ายแล้วร้อยละ 54
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงภาวะสังคมไทยไตรมาส 4/63 สถานการณ์ด้านแรงงาน มีจำนวนแรงงานเพิ่มขึ้น 39.1 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 38.0 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน, การจ้างงาน 38.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 จากการขยายตัวของการจ้างงานภาคเกษตรกรรมร้อยละ 3.4, อัตราการว่างงานเท่ากับร้อยละ 1.86 ลดลงจากร้อยละ 1.95 และร้อยละ 1.90 ในไตรมาส 2/63 และไตรมาส 3/63 ตามลำดับ แม้การว่างงงานในระบบลดลง แต่ยังอยู่ในระดับสูง โดยสัดส่วนผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงงานต่อผู้ประกันตนอยู่ที่ร้อยละ 3.6 แต่ผู้ว่างงานรายใหม่ปรับตัวลดลง สะท้อนการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ขณะที่หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 13.77 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 3.9 จากร้อยละ 3.8 ในไตรมาสก่อน โดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 86.6 ต่อจีดีพี (GDP)
ส่วนสถานการณ์ด้านอื่นๆ ที่น่าสนใจ ด้านสุขภาพและการเจ็บป่วย พบการเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังโดยรวมลดลงร้อยละ 51.9, ส่วนการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ลดลงร้อยละ 3.2, คดีอาญาลดลงร้อยละ 23.7 และอุบัติเหตุจราจรทางบกลดลงร้อยละ 10.7
ภาพรวมตลอดปี 2563 ตลาดแรงงานได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ทำให้อัตราการว่างงานเพิ่ม และชั่วโมงการทำงานลดลง โดยแรงงานในปี 2563 มีทั้งสิ้น 38.5 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 1.0 จากการเข้าสู่ตลาดแรงงานของผู้อยู่นอกกำลังแรงงานประมาณ 1 แสนคน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานในกลุ่มอาชีพอิสระ, การจ้างงานขยายตัวร้อยละ 0.2 โดยเฉพาะการขยายตัวในสาขาการค้าส่ง/ค้าปลีก และสาขาก่อสร้างที่ขยายตัวดีในช่วงครึ่งหลังของปี ตามมาตรการผ่อนคลายการควบคุมการแพร่ระบาด และสาขาการขนส่งที่ ได้รับประโยชน์ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคจากกการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อสินค้าของประชาชน, อัตราการว่งงงานปี 2563 ยังอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 1.69 เพิ่มจากปี 2562 ที่ร้อยละ 0.98 หรือมีจำนวนผู้ว่างงานเฉลี่ย 6.51 แสนคน
ทั้งนี้ จากข้อมูลการสารวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนช่วงครึ่งปีแรกของ 2563 พบว่า ครัวเรือนมีรายได้ 23,615 บาท ปรับตัวลดลงจากปี 2562 ที่มีรายได้ 26,371 บาท หรือมีรายได้ลดลงร้อยละ 10.45
สำหรับปัจจัยเสี่ยงด้านแรงงานปี 2564 ได้แก่ความไม่แน่นอนของการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังไม่ฟื้นตัวจากการระบาดในรอบแรก ขณะที่ผู้ประกอบอาชีพอิสระจะมีรายได้ลดลงจากการชะลอตัวของการบริโภคภาคเอกชน และการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะกลุ่มทักษะด่านเทคโนโลยีดิจิทัล ควรมีการสนับสนุนการพัฒนาทักษะ ปรับทักษะ และสร้างทักษะใหม่ให้กับแรงงาน
นอกจากนี้ สภาพัฒน์ฯ ยังได้นำเสนอบทความเรื่อง “พ.ร.ก. เงินกู้ให้อะไรกับประชาชน” โดยรัฐบาลได้ออก พ.ร.ก. เงินกู้หนึ่งล้านล้านบาท เพื่อประโยชน์ในการแก้ปัญหาการระบาดของโรค ช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้แก่ภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ รวมทั้งฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม โดย พ.ร.ก.ดังกล่าวได้กำหนดการใช้จ่ายเป็น 3 แผนงานหลัก ได้แก่ แผนงานที่ 1 มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุข , แผนงานที่ 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยผู้ได้รับผลกระทบ แผนงานที่ 3 เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ปัจจุบันกรอบวงเงินกู้ถูกอนุมัติไปแล้วทั้งสิ้น 748,666.24 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 74.9 ของวงเงินงบประมาณรวม และมีการเบิกจ่ายแล้วประมาณร้อยละ 54.05 ของงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติทั้งหมด (ข้อมูล ณ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564) โดยมีโครงการที่ได้รับการอนุมัติแล้ว 256 โครงการ อย่างไรก็ตาม วงเงินอนุมัติดังกล่าวจะถูกกู้และเบิกจ่ายเป็นงวดตามความจำเป็นในการใช้จ่าย ซึ่งปัจจุบันมีการเบิกจ่ายแล้ว 404,632.25 ล้านบาท.- สำนักข่าวไทย