กรุงเทพฯ 1 ก.พ.- IRPC มั่นใจปี 64 มีกำไร หลังปี 63ขาดทุนสุทธิ 6,152 ล้านบาท ตั้งเป้าขยายธุรกิจ ด้วยกลยุทธ์ 3 S เตรียมปรับประเมินราคาน้ำมันดิบปี 64 ใหม่หลังราคาตลาดโลกแตะ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผย ปี64 บริษัทตั้งเป้าหมายมีกำไรหลังจาก 2 ปีที่ผ่านมาประสบปัญหาขาดทุน 1,174 ล้านบาทในปี 62 และขาดทุน 6,152 ล้านบาทในปี 63 ซึ่งมั่นใจว่าจะเป็นไปตามแผน โดย 6 สัปดาห์แรกของปีนี้ก็มีผลดำเนินการเกินเป้าหมาย เกิดจากทั้งภาวะตลาดโลก ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์และราคาขยับสูงขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการปรับตัวของผู้บริโภคทั่วโลกจากที่ประสบปัญหาผลกระทบโควิด-19 มาตั้งแต่ปีที่แล้ว ในขณะที่ ไออาร์พีซี ได้ปรับตัวสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน บุคลากรมีความสามารถใช้การวิเคราะห์ ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้รวมวิเคราะห์ จึงทำให้บริหารความเสี่ยง เพิ่มขีกความสามารถการแข่งขันตอบสนองภาวะตลาดได้ทันท่วงที “ราคาน้ำมันดิบทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 60 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล สูงกว่าที่ กลุ่ม ปตท.คาดว่าน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 64 จะอยู่ที่ 47 เหรียญ/บาร์เรล ดังนั้น ก็คาดว่าราคาจะสูงกว่าคาดการ์ เป็นผลเพราะทั้งการผ่อนคลายล็อกดาวน์ทั่วโลก จีนมีการเดินทางท่องเที่ยวใช้นำมันเพิ่มขึ้น โรงกลั่นอินเดียมีการชัทดาวน์ ในขณะที่ปิโตรเคมีปีนี้ยอดใช้คาดดีขึ้นทั้งในส่วนเม็ดพลาสติกจำหน่ายกลุ่มยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่ก็มีซัพพลายใหม่ที่จะเข้ามากดดัน คือ โครงการใหม่ในมาเลเซียและจีน แต่โดยรวมผลประกอบการปิโตรเคมีปี 64 จะดีกว่าปีที่แล้ว” นายชวลิตกล่าว
สำหรับงบลงทุน ภาพรวม 5 ปี อยู่ที่ประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งนอกจากพัฒนาตามแผนลงทุนแล้วยังมองหาการร่วมทุนในการพัฒนาเม็ดพลาสติกเกรดพิเศษ สร้างมูลค่าเพิ่มในด้านต่างๆ โดยในส่วนของผลิตทุ่นลอยน้ำโซลาร์ลอยน้ำนั้น ในขณะนี้ อยู่ระหว่างการหาพันธมิตรและตลาดเพื่อการจำหน่าย โดยผลิตจากเม็ดพลาสติกที่ไออาร์พีซีพัฒนาขึ้นมาเอง รองรับการใช้งานได้ถึง 20 ปี ทั้งนี้ IRPC ปรับเปลี่ยนทั้งโครงสร้างต้นทุน รูปแบบการทำธุรกิจและวิธีการทำงานที่เข้าใจ เข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคให้มากยิ่งขึ้น (Human centric) ด้วยการใช้นวัตกรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ พร้อมทั้งขยายขอบเขตการลงทุน สร้างความร่วมมือกับพันธมิตรและการพัฒนาธุรกิจไปยังกลุ่มธุรกิจใหม่ ด้วยกลยุทธ์ 3 S ได้แก่ Strengthening the core, Striving the growth, Sustaining the future ดังนี้
Strengthening the core การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจหลัก เช่น แผนลงทุนในโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซลให้ได้ตามมาตรฐานยูโร 5 (Euro V) คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ ปี 2566 นำระบบดิจิทัลและเทคโนโลยี ระบบ AI มาใช้เป็น Smart Operation เพิ่มประสิทธิภาพด้านการขายและการตลาด โดยใช้ระบบดิจิทัล (Customer Centric Digital) ที่ทำให้เข้าถึงความต้องการของลูกค้าและตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ใช้เครื่องมือที่ทันสมัยในการเลือกซื้อน้ำมันดิบ วัตถุดิบ การวางแผนการผลิต
Striving the growth ขยายการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ เพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง กลุ่มผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty) จากปัจจุบันมีสัดสัดส่วนร้อยละ 13 ของ กำไรก่อนหักดอกเบี้ยภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (อีบิทด้า )ให้เพิ่มเป็นร้อยละ 30 ของอีบิทด้าในอนาคต เดินหน้าขยายธุรกิจด้วยความร่วมมือกับพันธมิตรสู่ปิโตรเคมีปลายน้ำ ให้ใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น เช่น การร่วมมือกับ บมจ.ปตท. ศึกษาการผลิต Melt Blown ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 และNitrile Butadiene Latex วัตถุดิบที่นำไปผลิตเป็นถุงมือแพทย์ และการร่วมทุนกับบริษัท เจแปน โพลิโพรพิลีน คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ JPP เพื่อผลิตและจำหน่ายเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษพีพีคอมพาวด์ ให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั้งในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรพัฒนาต่อยอดไปยังธุรกิจปลายน้ำอื่นๆ ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตในอนาคตต่อไป
Sustaining the future การพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของชุมชน ด้วยการใช้พลังงานทดแทนและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก (Climate Change) การนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาใช้ และการสร้างคุณค่าให้กับสังคม (Creating Social Value) โดยร่วมกับมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราชสร้างห้องปฏิบัติการกลางเพื่อตรวจสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ครบวงจรแห่งแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปี 2564
“ตามแผน 7กลยุทธ์เดิมของไออาร์พีซีที่ตั้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นแผนสร้างความเข็มแข็ง การลงทุน ยูโร 5 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงการโนอาห์ ที่ลดขนาดองค์กรสร้างประสิทธิภาพ ยังมั่นใจว่า 5 แผนที่ทำแล้วจะช่วยเพิ่มอีบิทด้าใน 5 ปีข้างหน้าได้ถึง 1.4 หมื่นล้านบาท ส่วนแผน การผลิตเม็ดพลาสติกเกรดพิเศษ เกรดเครื่องมือแพทย์ การพัฒนาตอบสนองยานยนต์ทุกประเภท เครื่องใช้ไฟฟ้า ไลฟ์ไสตล์ ยุคใหม่ ก็จะทำให้ บริษัทมีความยั่งยืน” นายชวลิตกล่าว-สำนักข่าวไทย