กรุงเทพฯ 18 ม.ค.-กระบะเบิลเครื่อง พุ่งชนร้านอาหาร ย่านราษฎร์บูรณะ บาดเจ็บ 4 คน ในจำนวนนี้อาการสาหัส 1 คน เจ้าของรถเผยคนขับยืมรถมาขนน้ำช่วยงานศพ
ร้านขายอาหาร ตั้งอยู่บนถนนราษฎร์พัฒนา ซอยสุขสวัสดิ์ 27 เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ ตรงข้ามโรงเรียนโรจนนิมิต ใกล้เคียงโรงพยาบาลราษฎร์บูรณะ ถูกรถกระบะ ทะเบียน ถท 5070 กทม. พุ่งเข้าไปชนจนพังยับเยิน กระจกหน้าร้านแตกหลายบาน และมีผู้บาดเจ็บ 4 คน รวมทั้งคนขับ โดย 3 คน เป็นลูกค้าที่นั่งกินในร้าน มี 1 คน อาการสาหัส
โดยจุดเกิดเหตุเป็นร้านขายของชำ และร้านขายอาหาร เลขที่ 166 ถนนราษฎร์พัฒนา ซอยสุขสวัสดิ์ 27 แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ กทม. เจ้าของร้านชื่อ นายธนสร จันทร์จวง อายุ 37 ปี สภาพหน้าร้านพังยับเยิน พบรถกระบะ ทะเบียน ถท 5070 กรุงเทพมหานคร สภาพพังยับเยินจอดแน่นิ่งหน้าร้าน ส่วนร้านอาหาร เสียหายกระจกหน้าร้านแตกหลายบาน มีผู้บาดเจ็บ 3 คน สำหรับผู้บาดเจ็บทั้งหมด 4 คน ประกอบด้วย นายเอกนรินทร์ หูสวัสดิ์ อายุ 46 ปี (คนขับกระบะ), นายเสกสรร มีเบ้า อายุ 22 ปี, นายอธิป บุตรพรหม อายุ 23 ปี และนายอภิสิทธิ์ บุญไตรย์ อายุ 22 ปี
สอบถาม นายธนสร เล่าว่า ตอนเกิดเหตุตนนั่งอยู่ในร้าน มีลูกค้านั่งกินข้าวอยู่ ตนได้ยินเสียงโครมสนั่น และรถก็เสียหลักพุ่งเข้ามาชนในร้านเลย โดยผู้บาดเจ็บก็เป็นลูกค้าประจำของร้านตน กำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ 3 คน เป็นชายทั้งหมด บาดเจ็บอาการหนัก 1 คน ทั้งหมดถูกนำส่งโรงพยาบาลราษฎร์บูรณะ
ขณะที่ผู้เห็นเหตุการณ์ บอกว่า เห็นรถกระบะคันนี้เลี้ยวออกจากวัดประเสริฐ ก่อนจะเบิลเครื่องเสียงดังจนควันดำ จากนั้นก็พุ่งออกไปอย่างแรง พอมีอุบัติเหตุรีบมาดู จึงพบว่าเป็นรถกระบะที่เบิลเครื่องเสียงดังเมื่อสักครู่
ต่อมานายเกียรติยศ จงโชติพัฒน์ อายุ 29 ปี เจ้าของรถกระบะคันเกิดเหตุ บอกว่า คนที่ขับรถชน ได้ยืมรถกระบะของตน ซึ่งบอกว่าจะมาขนน้ำช่วยงานศพที่วัดแป๊ปเดียว พอหายไปประมาณครึ่งชั่วโมง ก็โทรมาบอกว่า รถชน ตนจึงรีบมาดู แต่ก็ไม่รู้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลากรถมาเก็บไว้ที่ สน.ราษฏร์บูรณะ และบันทึกภาพที่เกิดเหตุเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน ตรวจสอบความเสียหายของร้านอาหาร รวมถึงตัวผู้บาดเจ็บทั้ง 3 ราย และยังไม่ดำเนินคดีกับคนขับรถกระบะ ตัองรอให้ผู้บาดเจ็บทั้งหมด ซึ่งรวมกับคนขับที่ได้รับบาดเจ็บด้วย อาการดีขึ้นก่อน หรือพอจะสอบถามเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้ว่าเกิดเหตุขึ้นได้อย่างไร จึงจะสรุปสาเหตุและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.-สำนักข่าวไทย