กรุงเทพฯ 29 ต.ค. – อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของไทย ระบุว่า ไทยจะได้ประโยชน์จากโครงการเส้นทางสายไหมครั้งใหม่ของจีน โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยอาจจะเติบโตได้ถึงร้อยละ 8 ในอนาคต แต่ปัญหาในขณะนี้ คือ ยังไม่มีเวทีสำหรับเส้นทางสายไหมอย่างเป็นรูปธรรม
นายโภคิน พลกุล นายกสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน เป็นประธานเปิดงานเสวนาเรื่อง” Friends of Silk Road”หรือ มิตรประเทศบนเส้นทางสายไหมในสถานการณ์ใหม่ของโลก
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในงานเสวนาว่า โครงการเส้นทางสายไหมยุคใหม่ของจีนได้เริ่มขึ้นเมื่อ 7 ปีที่แล้ว เพื่อเปิดตลาดขับเคลื่อนเศรษฐกิจของโลกและลดความยากจนซึ่งขณะนี้เศรษฐกิจจีนได้เจริญเติบโตเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา โดยประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ได้กลับมาเริ่มต้นเส้นทางสายไหมครั้งใหม่นี้ ขณะเดียวกันอาเซียนก็มีการผลักดันวาระการเชื่อมอาเซียนกับจีนและประเทศเศรษฐกิจโลกเช่นกัน
อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของไทย ยังกล่าวด้วยว่า มีการวิเคราะห์กันว่าหากเศรษฐกิจโลกมีการเปิดกว้างขึ้น เศรษฐกิจโลกจะเติบโตถึงร้อยละ 30 การลงทุนจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 70 แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ขณะที่ธนาคารโลกประมาณการว่าโครงการเส้นทางสายไหมครั้งใหม่นี้จะช่วยเพิ่มพูนการค้าการลงทุนได้มากถึงร้อยละ 3 – 10 และจะช่วยดึงคนออกจากปัญหาความยากจนได้ไม่ต่ำกว่า 40 ล้านคนและไทยจะได้ประโยชน์จากสภาพภูมิศาสตร์ที่เป็นจุดศูนย์กลางของอาเซียนซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจไทยอาจจะเติบโตได้ถึงร้อยละ 8 ในอนาคต
อย่างไรก็ตามการเชื่อมเส้นทางสายไหมครั้งใหม่นี้ก็มีปัญหาคือยังไม่มีเวทีสำหรับเส้นทางสายไหมอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งๆที่ทุกประเทศต้องการมีส่วนร่วมกับเส้นทางสายไหมนี้ นอกจากนี้การบริหารจัดการของแต่ละประเทศมีปัญหาเรื่องความโปร่งใสในการจัดทำโครงการใหญ่ๆ รวมทั้งสถานการณ์ของโลกจะเปลี่ยนไปจากปัญหาของโควิด-19 เพราะรัฐบาลทั่วโลกกำลังก่อหนี้เพื่อเยียวยาคนทั้งประเทศจากปัญหาโควิด สำหรับตนเองมองว่าในอนาคตอันใกล้นี้ จะเป็นโอกาสที่ดีใน 2 เส้นทางสายไหม คือ 1.เส้นทางสายไหมด้านสุขภาพ 2.เส้นทางสายไหมด้านดิจิตอล อย่างไรก็ตามโครงการเส้นทางสายไหมครั้งใหม่นี้จะมีความสำคัญชัดเจนขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้และจะเปิดโอกาสให้ผู้คนกว่า 100 ประเทศทั่วโลกได้เกิดการเชื่อมโยงทางการค้ารวมทั้งจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น . – สำนักข่าวไทย