สปสช.27 ต.ค.- “ไขข้อสงสัย ยกระดับบัตรทอง 4 ระบบบริการ” กทม. กรมการแพทย์ สธ. และ สปสช. ร่วมชี้แจง ประกาศความพร้อม ทั้ง “รักษาปฐมภูมิทุกที่ในเครือข่ายหน่วยบริการบัตรทอง” นำร่อง กทม. และ “ยกเลิกใช้ใบส่งตัวกรณีผู้ป่วยใน” นำร่องเขต 9 นครราชสีมา ขณะที่ “กรมการแพทย์” ระบุ สถาบันมะเร็ง และ รพ.ศูนย์มะเร็ง 7 แห่งทั่วภูมิภาค เตรียมเดินหน้า “มะเร็งส่งตรงถึงโรงพยาบาลเฉพาะด้านที่ไม่แออัด” 1 ม.ค. นี้
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ผู้ป่วยต้องลงทะเบียนที่หน่วยบริการปฐมภูมิที่ใดที่หนึ่งก่อน และต้องรับบริการที่หน่วยบริการที่ลงทะเบียนเท่านั้น แต่พบว่า มีประชาชนบางส่วนที่สะดวกไปหน่วยบริการปฐมภูมิอื่น เพราะใกล้กว่า เกิดข้อจำกัด นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบ สปสช. ปรับระบบบริการ “รักษาปฐมภูมิทุกที่ในเครือข่ายหน่วยบริการ” โดยใช้หลักใกล้บ้านใกล้ใจ ต้องย้ำว่าระบบนี้เฉพาะบริการปฐมภูมิเท่านั้น และในวันที่ 1 พ.ย. นี้ ไม่ได้ทำพร้อมกันทั่วประเทศ เป็นเพียงการนำร่องในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งก่อนหน้านี้มีปัญหา 190 คลินิกเอกชนถูกยกเลิกสัญญา ทำให้ประชาชนไม่มีหน่วยบริการประจำรองรับ จึงนำนโยบายใหม่นี้มาทดลอง โดยขอให้นำบัตรประชาชนพกติดตัวไปด้วย เพื่อยืนยันตัวตน
นพ.ชวินทร์ ศิรินาค รองปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม. ได้มีนโยบายพัฒนาระบบสุขภาพให้กับชาว กทม. และได้หารือกับ สปสช. ในการแก้ไขปัญหา ขณะนี้สถานพยาบาลใน กทม. ที่รองรับสิทธิบัตรทองมี 136 แห่ง ในจำนวนนี้เป็นหน่วยบริการสังกัด กทม. 81 แห่ง แบ่งเป็นศูนย์บริการสาธารณสุข 69 แห่ง และโรงพยาบาลอีก 11 แห่ง และโรงพยาบาลวชิรพยาบาล อีก 1 แห่ง ที่สังกัด กทม. ซึ่งในวันที่ 1 พ.ย. นี้ ประชาชนจะเข้ารับบริการยังหน่วยบริการปฐมภูมิทุกที่ในเครือข่ายของตนได้
ส่วนนโยบายยกระดับบัตรทองอีก 3 ด้านนั้น คือ 1.ประเด็นการยกเลิกใช้ใบส่งตัวกรณีผู้ป่วยในที่ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาลนั้น นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า นโยบายนี้ ใช้เฉพาะกรณีผู้ป่วยในที่ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาล นำร่องในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 9 นครราชสีมา ใน 4 จังหวัด คือ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ ซึ่งเป็นเขตสุขภาพที่ใหญ่มาก มีประชากรประมาณ 7.5 ล้านคน และมีความพร้อมในการดำเนินการ โดยตั้งแต่ในวันที่ 1 พ.ย. นี้ ประชาชนในพื้นที่เขต 9 นครราชสีมา ในกรณีที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัวที่หน่วยบริการประจำ และหากระบบดำเนินไปด้วยดีก็จะมีการขยายผลไปยังจังหวัดอื่นเพิ่มเติม
2.นโยบาย “มะเร็งส่งตรงถึงโรงพยาบาลเฉพาะด้านที่ไม่แออัด” นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า การรักษามะเร็งเป็นสิทธิประโยชน์ระบบบัตรทองอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาอาจเกิดความไม่สะดวก มีปัญหาคิวรักษาและความแออัดบริการ รมว.สาธารณสุข จึงมอบให้กรมการแพทย์วางแผนบริการให้กับผู้ป่วยกลุ่มนี้ให้เข้าถึงการรักษาโดยเร็ว ซึ่งโรคมะเร็งอยู่ในแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) กระทรวงสาธารณสุขอยู่แล้ว สอดคล้องกับการปรับระบบบริการในครั้งนี้ โดยกรมการแพทย์มีสถาบันมะเร็งแห่งชาติ และโรงพยาบาลมะเร็ง 7 แห่งทั่วภูมิภาคเข้าร่วม ทั้งนี้จะมีการเชื่อมโยงข้อมูลการเข้ารับบริการทั้งหมด ทำให้เห็นภาพการเข้ารับบริการและสามารถกระจายคิวรักษาผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลใกล้เคียงได้ อย่างไรก็ตามในช่วง 2 เดือนนี้ กรมการแพทย์จะดำเนินการต่างๆ เพื่อรองรับ และวันที่ 1 มกราคม 2564 โรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์จะมีความพร้อมดูแลผู้ป่วยตามนโยบายนี้
“กรมการแพทย์มีแนวทางรักษามะเร็งอยู่แล้ว โดยจัดทำร่วมกับโรงเรียนแพทย์ เป็นมาตรฐานบริการผู้ป่วยมะเร็งโรงพยาบาลในสังกัด ดังนั้นทุกแห่งจึงเป็นมาตรฐานการรักษาและดูแลผู้ป่วยมะเร็งเดียวกัน ซึ่งสามารถเบิกจ่ายค่ารักษาจากกองทุนบัตรทองได้”
ด้าน นพ.จเด็จ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของบริการผู้ป่วยมะเร็งนั้น แต่เดิมผู้ป่วยมีปัญหาการเข้าถึงการรักษาที่มาจากค่าใช้จ่ายในการวินิจฉัย ทั้งการทำซีทีสแกนและเอกซเรย์ที่บัตรทองไม่ครอบคลุม ทำให้โรงพยาบาลต้องเรียกเก็บจากผู้ป่วย แต่ที่ผ่านมา สปสช.ได้เพิ่มสิทธิประโยชน์ในส่วนนี้ โดยกองทุนบัตรทองจะเป็นผู้จ่ายชดเชยค่าบริการนี้ให้กับประชาชน
และด้านที่3.การปรับระบบเพื่อให้ “ประชาชนได้รับสิทธิบริการทันที หลังเปลี่ยนหน่วยบริการประจำ” นั้น นพ.จเด็จ กล่าวว่า ด้วยปัญหาอุปสรรคที่ตามระบบเดิม กำหนดให้ผู้เปลี่ยนหน่วยบริการประจำต้องรอ 15 วัน จึงจะใช้สิทธิเข้ารับบริการได้นั้น ด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่พัฒนาก้าวหน้า โดยเฉพาะการเชื่อมต่อข้อมูลไปยังหน่วยบริการ และการยืนยันตัวตนโดย Smart card ทำให้ สปสช. สามารถปรับระบบเพื่อแก้ไขช่องว่างนี้ได้ ดังนั้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป พร้อมกันทั่วประเทศ ประชาชนสามารถใช้สิทธิบัตรทองได้ทันทีหลังเปลี่ยนหน่วยบริการประจำ ไม่ต้องรอ 15 วันอีกต่อไป .-สำนักข่าวไทย