กรุงเทพฯ 9 ต.ค.- ตำรวจจับกุมผู้ต้องหาที่ใช้ช่องทางโซเชียลมีเดีย หลอกลวงเหยื่อผู้เสียหายรวม 3 คดี
พลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยพลตำรวจตรีพันธนะ นุชนารถ หัวหน้าชุดปราบปราม 2 ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้บังคับการจังหวัดชัยนาท ร่วมกันแถลงผลจับกุมผู้ต้องหาที่ใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการกระทำความผิดรวม 3 คดี
โดยคดีแรก ตำรวจจับกุมนายนิตินัย ขุนทอง ผู้ต้องหาสร้างบัญชีไลน์ หลอกผู้เสียหายโอนเงินช่วยชำระสินค้าแทน โดยผู้ต้องหาใช้การสวมรอยเป็นญาติ หรือเพื่อนของผู้เสียหาย โดยรวบรวมข้อมูลเหยื่อจากคนที่ไปสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ในหน้าเว็บไซต์ต่างๆ จากนั้นก็ทักแชทไปคุยในลักษณะได้รับความเดือนร้อนเพราะสั่งซื้อสินค้าผ่านเว็ปไซต์ช้อปปิ้งออนไลน์ชื่อดัง แต่มีเงินไม่เพียงพอ ต้องการขอให้ผู้เสียหายโอนเงินส่วนที่เหลือไปให้กับทางเว็ปไซต์ช้อปปิ้งดังกล่าวโดยตรง เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินไป ผู้ต้องหาจะไปทำการยกเลิกการสั่งซื้อสินค้า เพื่อขอรับเงินคืนกลับมาในบัญชีออนไลน์ ซึ่งก็จะไม่เบิกถอนทันที แต่จะนำไปเติมเงินออนไลน์ หรือซื้อบัตรเติมเงิน เพื่อนำไปขายต่อให้กับผู้ที่ต้องการเติมเงินเกมออนไลน์อีกทอดหนึ่ง ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลพบว่ามีผู้เสียหายกว่า 20 ราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 800,000 บาท ทั้งนี้จากการสอบสวนผู้ต้องหา ยังให้การรับสารภาพ ว่าหลอกลวงผู้เสียหายแบบนี้มานานกว่าหนึ่งปี ส่วนวิธีการหลอกลวงเรียนรู้มาจากเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งยังร่วมกระทำผิดด้วย โดยตำรวจอยู่ระหว่างขยายผลจับกุม เพื่อนรายนี้มาดำเนินคดี
ส่วนคดีที่ 2 ตำรวจจับกุมนายนิติภูมิ ป้องกัน ผู้ต้องหาที่สร้างบัญชีเฟสบุ๊คปลอม ไว้หลอกลวงเหยื่อให้โอนเงินประกันสินค้าแบรนด์เนม โดยพบว่ามีผู้เสียหายกว่า 10 ราย รวมความเสียหายกว่า 400,000 บาท สำหรับพฤติการณ์ของผู้ต้องหา จะเข้าไปติดตามในกลุ่มประกาศขายสินค้าแบรนด์เนม จากนั้นจะติดต่อผู้ที่ประกาศขายสินค้า ทำการเจรจาตกลงว่าจะขอซื้อสินค้านั้นๆ แต่จะอ้างว่าตนเองไม่ไว้วางใจในการโอนเงินให้กับผู้ขาย จะขอให้มีการโอนเงินซื้อขายสินค้าผ่านแอดมินเพจขายสินค้าแบรนด์เนม ซึ่งเป็นเฟสบุ๊คที่ผู้ต้องหาเปิดขึ้นมา ก่อนจะสวมรอยเข้าไปเป็นแอดมินเพจให้ผู้เสียหายโอนเงินประกันสินค้า 20-40% ของราคาที่มีการตกลงซื้อขาย เมื่อได้เงินมาแล้วก็จะปิดบัญชีเฟซบุ๊กหลบหนีไปทันที นอกจากนี้ในการนำเงินออกมาใช้จ่าย ยังใช้การโอนเข้าบัญชีคนรู้จัก เพื่อขอให้คนรู้จักช่วยกดถอนเงินออกมา หรือใช้การถอนเงินโดยไม่ใช้บัตรเพื่อปกปิดหน้าตาตนเอง ให้ยากต่อการจับกุมด้วย
ส่วนคดีสุดท้ายเป็นการจับกุมเว็บไซต์พนันออนไลน์ในพื้นที่จังหวัดชัยนาท หลังฝ่ายสืบสวนเข้าตรวจค้นที่บ้านพักหลังหนึ่ง ในอำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท พบผู้ต้องหาร่วมกระทำผิด 9 คน พร้อมของกลางเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ กล้องวงจรปิด บัตรกดเงินสด และเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจากการสอบสวน พบว่าเว็บไซต์ดังกล่าว เปิดให้บริการตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา มีเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 300 ล้านบาท ก่อนนำส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป .-สำนักข่าวไทย