กรุงเทพฯ 8 ต.ค.- “เศรษฐพงค์” แนะ ทำแผนพัฒนากิจการอวกาศ ควบคู่ทำกฎหมายกิจการอวกาศ เชื่อ หากมีกลยุทธ์ที่แหลมคมช่วยพัฒนา New Space Economy แต่หากช้าจะเสียโอกาสให้ประเทศอื่น
พ.อ.เศรษฐพงศ์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการสื่อสาร โทรคมนาคม และดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ประชุมเพื่อให้ประเทศไทยมีกฎหมายและหน่วยงานกลางบูรณาการนโยบายและแผนกิจการอวกาศพัฒนากิจการอวกาศให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่ยุคใหม่ของกิจการอวกาศ หรือ New Space Economy
พ.อ.เศรษฐพงศ์ กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กิจการอวกาศ โดยให้รับข้อสังเกต ข้อคิดเห็น จากที่ประชุมไปปรับปรุงเพื่อให้กฎหมายมีความรัดกุมยิ่งขึ้น ซึ่งตนเห็นด้วยกับแนวนโยบายดังกล่าว แต่ในวันนี้เราต้องมีแผนพัฒนากิจการอวกาศขึ้นมาจริงจัง คู่ขนานกับระหว่างจัดทำกฏหมายด้วย เช่น ต้องมีการวิเคราะห์ว่าประเทศไทยควรเริ่มต้นด้วยกิจกรรมอะไรก่อน Ecosystem เป็นอย่างไร อาจจะเป็นเรื่องการสร้างท่าอวกาศยาน ก็จะตามมาด้วยการสร้างจรวด อุตสาหกรรมการสร้างเครื่องยนต์เพื่อขับดันจรวด อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในการยิงจรวดจะตามมาด้วย เพราะจรวดจะสร้างด้วยเทคโนโลยี 3D printing และจะมีอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ต่อเนื่อง เพราะเศรษฐกิจอวกาศเป็นเรื่องที่กว้างขวาง เป็นเรื่องใหม่
พ.อ.เศรษฐพงค์ กล่าวว่า ประเทศเรามีเงินลงทุนที่จำกัด ทรัพยากรบุคคลที่เชี่ยวชาญเรื่องเหล่านี้ก็จำกัด รวมทั้งเรื่องเวลาที่จำกัด เพราะถ้าไม่ทำชิงบทบาทนำในเรื่องนี้อาจจะเสียโอกาสให้กับประเทศอื่น แต่ในข้อจำกัดเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้ แต่ต้องใช้กลยุทธ์ที่แหลมคมทำให้เกิดขึ้นได้ นับเป็นความท้าทายเป็นอย่างยิ่ง อย่างแรกไม่ว่าทาง GISTDA หรือ กระทรวงดีอีเอส ควรจัดทำแผนกลยุทธ์เรื่องกิจการอวกาศเชิงพาณิชย์ขึ้นมา พร้อมรับฟังความเห็นเพื่อมาปรับแต่งแผนกลยุทธ์ 5 ปีให้มีความเป็นไปได้มากที่สุด แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ไม่มีใครรับรองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะสำเร็จหรือไม่ แต่สิ่งที่ประเทศไทยจะได้คือแสดงความตั้งใจแล้วว่าเรากล้าที่จะก้าวเดินเพื่อความสำเร็จในอนาคตได้
“อย่างน้อยแผนยุทธศาสตร์เหล่านี้จะเป็นการแสดงวิธีการใหม่ที่จะรวบรวมความฉลาดของคนจำนวนมาก (Wisdom of the crowd) เป็นเรื่องของการเปิด (Openness) ที่จะฟังทุกความเห็นมาประเมินแล้วนำมาสังเคราะห์ให้เป็นมรรคเป็นผล ไม่ใช่เป็นการงุบงิบทำโดยคนไม่กี่คน เพียงแต่เชื่อว่าคนเหล่านี้เป็นผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น อย่างที่บอกเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ ทุกความเห็นทุกคำแนะนำก็มีประโยชน์ทั้งนั้น เพราะไม่มีใครบอกได้ว่าอันไหนถูกอันไหนผิด บทสรุปคือการสร้างแผนยุทธศาสตร์ขึ้นมา และนำมารับฟังความเห็นจากหลายภาคส่วน ที่เหลือก็คือการลงมือทำ” พ.อ.เศรษฐพงค์ กล่าว.-สำนักข่าวไทย