กรุงเทพฯ 7 ต.ค.- ตำรวจ พานักเรียนหญิง ม.1 ถูกรุ่นพี่ ม.5 ข่มขืน สอบปากคำต่อหน้าสหวิชาชีพ เตรียมแจ้งข้อหาข่มขืนเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี
พนักงานสอบสวนหญิง สน.สุวินทวงศ์ พาเด็กหญิงวัย 12 ปี นักเรียนชั้น ม. 1 โรงเรียนดังย่านหนองจอก ซึ่งตกเป็นผู้เสียหายถูกรุ่นพี่ ม. 5 ข่มขืนภายในหอประชุมของโรงเรียน พร้อมมารดา เข้าให้ปากคำกับ ทีมสหวิชาชีพ ที่ประกอบด้วย นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ ตำรวจ และอัยการ ที่สำนักงานอัยการมีนบุรี เพื่อนำไปประกอบสำนวน ดำเนินคดีกับรุ่นพี่ที่ก่อเหตุ
โดย เด็กหญิงผู้เสียหายพร้อมมารดา ได้เข้าให้การกับทีมสหวิชาชีพตั้งแต่เวลา 9 นาฬิกา จนถึงขณะนี้ก็ยังคงมีการสอบปากคำอยู่
ส่วนความคืบหน้าทางคดี พันตำรวจเอกอลงกรณ์ ศิริสงคราม
พันตำรวจเอกอลงกรณ์ ศิริสงคราม ผู้กำกับการ สน.สุวินทวงศ์ เปิดเผยว่า คดีนี้อยู่ในขั้นตอนของการสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด รวมถึงครูในโรงเรียนบางคนไปแล้ว เบื้องต้นทางผู้ก่อเหตุยอมรับว่า ก่อเหตุจริง ซึ่งการสอบปากคำทั้ง 2 ฝ่าย ต้องดำเนินการโดยทีมสหวิชาชีพ เพราะยังเป็นเยาวชนอายุ 12 และ 17 ปี
จากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่า เหตุเกิดตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม จนถึงเดือนกันยายน โดยรุ่นพี่ ม.5 ได้ก่อเหตุกระทำชำเราเด็กหญิง ม.1 รวมทั้งสิ้น 14 ครั้ง หลังเกิดเหตุเมื่อผู้ปกครองของเด็กหญิงทราบเรื่อง ได้ไปแจ้งกับทางโรงเรียน และมีการเจรจากัน โดยรุ่นพี่ม.5 ยอมรับว่าลงมือก่อเหตุจริง ซึ่งทางผู้ปกครองของเด็กหญิงยืนยันจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด จึงเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนสน.สุวินทวงศ์ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามในวันพรุ่งนี้ (8 ต.ค.) ทีมสหวิชาชีพจะนัดหมายผู้ก่อเหตุ มาสอบปากคำที่สำนักงานอัยการมีนบุรีอีกครั้ง พร้อมยืนยันว่า หลังรับแจ้งความได้ดำเนินการสืบสวนหาหลักฐานอย่างต่อเนื่อง มีการพาผู้เสียหายไปชี้จุดเกิดเหตุ รวมทั้งกองพิสูจน์หลักฐานได้เข้าเก็บหลักฐานภายในหอประชุม
สำหรับคดีนี้ พันตำรวจเอกอลงกรณ์ ระบุว่า เบื้องต้นจะเข้าข่ายความผิด 2 ข้อหา คือ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 พรากผู้เยาว์เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี มีโทษจำคุก 3 – 15 ปี ปรับ 6,000 – 30,000 บาท // และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 กระทำชำเราเด็กไม่เกิน 15 ปี มีโทษจำคุก 4 – 20 ปี แต่ถ้าเด็อายุไม่ถึง 13 ปี มีโทษจำคุกตั้งแต่ 7 – 20 ปี
ขณะที่โรงเรียนที่เกิดเหตุ ตอนนี้ผู้อำนวยการโรงเรียน ยังไม่มีการออกมาชี้แจงรายละเอียดต่อสื่อมวลชนแต่อย่างใด .-สำนักข่าวไทย