บุกยื่นหนังสือถึงนายกฯ​ จี้ปมเวชระเบียน ‘ทักษิณ’

ทำเนียบรัฐบาล 21 ม.ค.- คปท.ระดม 4 กลุ่ม เดินหน้าเคลื่อนไหว ยื่นหนังสือจี้เวชระเบียน ‘ทักษิณ’ ถึง ‘นายกฯ’ ซัดตำรวจ-แพทย์ ส่อปกป้อง ‘ผู้ป่วยเทวดา’


ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) กองทัพธรรม และอดีตแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) มายื่นหนังสือเพื่อแสดงจุดยืนกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ รวมทั้งขอเวชระเบียนของนายทักษิณ เนื่องจากนายทักษิณหลีกเลี่ยงในการดำเนินการตามขั้นตอนของกระบวนการกฎหมาย ตั้งแต่เดินทางกลับเข้ามารับโทษในประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2566

โดยมีผู้ไปร่วมแสดงจุดยืน เช่น นายพิชิต ไชยมงคล นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายแก้วสรร อติโพธิ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม นายประสาร มฤคพิทักษ์ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ นายปรีดา เตียสุวรรณ์ นายแซมดิน เลิศบุศย์ น.ส.เสน่ห์ หงษ์ทอง นางนีรนุช จิตต์สม นายมานพ เกื้อรัตน์ นายเจษฎ์ โทณะวณิก นายนิติธร ล้ำเหลือ นายอานนท์ กลิ่นแก้ว และนายนัสเซอร์ ยีหมะ


นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำ คปท. กล่าวก่อนการยื่นหนังสือว่า นายทักษิณ ระบุว่า จะอยู่ยาวอีก 40 ปี แต่ช่วงที่กลับเข้ามารับโทษ ต้องอยู่ในกระบวนการ 180 วัน แต่ดันมีอาการป่วยวิกฤษ ป่วยใกล้ตาย ไม่สามารถอยู่กรมราชทัณฑ์ได้ ต้องเข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจชั้น 14 ฉะนั้นวันนี้เราจึงถามถึงกระบวนการทางการแพทย์ว่า 180 วันที่นายทักษิณป่วยวิกฤต คณะแพทย์ชุดหนึ่งได้ทำเอกสาร ป่วยวิกฤต 180 วัน อาการของคนป่วย จะไม่ใช่อาการแบบนายทักษิณ คนปัจจุบันแน่นอน

นายพิชิต กล่าวว่า เราเดินทางไปให้กำลังใจสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในแห่งชาติ โดยบอกให้ยึดกระบวนการยุติธรรม เดินหน้าพิสูจน์ข้อเท็จจริง ซึ่ง ป.ป.ช.ทำหนังสือขอ เวชระเบียน ของนายทักษิณ ไปที่ รพ.ตำรวจ ตามคำร้องที่ คปท. ไปร้องไว้ ซึ่งเลขา ป.ป.ช. ระบุว่า คดีมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก แม้จะไม่ให้เวชระเบียนมา ใบเอกสารทางการแพทย์อื่น มีการสอบถามและไต่สวนมาแล้วเรียบร้อย

นายพิชิต กล่าวว่า เราไปขอให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่เป็นผู้บัญชาการสูงสุดกำกับควบคุม รพ.ตำรวจ ว่าต้องสั่งให้รพ.ตำรวจ ที่อยู่ในสังกัดส่งหลักฐานทางคดี เนื่องจากตำรวจเป็นองค์กรที่พิสูจน์ทรัพย์ข้อเท็จจริง วันนี้หลักฐานสำคัญ คือ เวชระเบียน อยู่ในมือตำรวจ ตำรวจจัดเก็บหลักฐาน หรือ ทำลายหลักฐานเอง แล้วเป็นองค์กรที่ต้องผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรม รวมทั้งต้องพิสูจน์เดินหน้าข้อเท็จจริง จึงต้องส่งเวชระเบียนไปให้กับ แพทยสภาภาย ในวันที่ 15 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา


นายพิชิต กล่าวว่า แพทยสภาที่ได้ดูแลเรื่องดังกล่าว ระบุมาว่า ได้เอกสารทางการแพทย์ในบางส่วน ส่วนเวชระเบียนไม่ได้เลย ดังนั้นเห็นได้ชัดว่า รพ.ตำรวจ ไม่ได้ให้ความร่วมมือ ไม่ส่งเวชระเบียน จนทำให้วันนี้พวกตนมาที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อมาหาลูกของผู้ป่วยเทวดา เนื่องจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลูกสาวของนายทักษิณ ต้องใช้ตำแหน่งในฐานะนายกฯ เพื่อคงไว้ซึ่งระบบนิติรัฐนิติธรรมของประเทศไทย

ขณะที่นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กล่าวว่า คนที่มีอำนาจสั่งการหน่วยงานต่าง ๆ มากที่สุด คือ น.ส.แพทองธาร จึงยื่นหนังสือให้สั่งการราชทัณฑ์แสดงเอกสารเวชระเบียน พร้อมให้หน่วยงานต่าง ๆ เช่น ป.ป.ช. แพทยสภา รวมถึงศาลยุติธรรม พิจารณากรณีดังกล่าวภายในอาทิตย์หน้า มิเช่นนั้น อาจเข้าข่ายความผิดฐานละเว้นโดยทุจริต  

ด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี กล่าวว่า เวชระเบียนของผู้ป่วยคนเดียว ต้องอยู่ในไฟล์เดียวกัน อีกทั้งโรคที่นายทักษิณกล่าวอ้าง เช่น โรคหัวใจนั้น เป็นโรคเสื่อมสภาพตามอายุในผู้สูงอายุ ส่วนอาการแน่นหน้าอกและความดัน คลินิกทั่วไปก็สามารถรักษาได้ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า หากนายทักษิณกลัวเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ เหตุใดถึงมีเพียงศัลยแพทย์ที่คอยดูแล นอกจากนี้ ตามหลักการ แพทย์ไม่ทำการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถให้ภาพความคมชัดสูง (เอ็มอาร์ไอ) ให้ผู้ป่วยวิกฤติ จึงมองว่าไม่ได้ป่วยวิกฤติและเป็นละครฉากหนึ่งเท่านั้น  

ขณะที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวว่า หลายคนตั้งคำถามกับตนว่าในแผ่นดินนี้ไม่มีใครจัดการความอหังการ์ของนายทักษิณได้ ตนมองว่าไม่มีอะไรแน่นอน “เพราะบางครั้งก็ส่งเชือกให้ฝั่งตรงข้ามผูกคอตาย แต่บางครั้งก็ชวนมากินไวน์ด้วยกัน ตั้งแต่บ้านเมืองนี้ไม่ตรงไปตรงมา หลังจากวันที่นายทักษิณกลับมายังประเทศไทย“

นายจตุพร กล่าวต่อว่า ตั้งแต่วันแรกที่นายทักษิณ ลงข้อความบนแอพพลิเคชั่น X (เอ็กซ์) บอกว่าขออนุญาตกลับบ้านมาเลี้ยงหลานเพราะแก่แล้ว หลายคนคงตั้งคำถามว่านายทักษิณได้ขออนุญาตใคร แต่ทันทีที่นายทักษิณลงเครื่อง ซึ่งเราก็เห็นถึงความไม่ปกติมาตั้งแต่ต้น ซึ่งมาถึงประเทศไทย ตำรวจไม่มีการควบคุมตัว และไม่มีการคุมขังและอยู่ในเรือนจำไม่กี่ชั่วโมง กลับมีอาการป่วยขั้นวิกฤต และที่น่าสงสัยที่สุดคือ พยาบาลเป็นคนบอกว่าป่วยวิกฤติสะเอง ทั้งที่จริงควรจะเป็นหมอ

นายจตุพร กล่าวต่อว่า ขณะที่ด้าน พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ที่ออกมาพูดถึงเรื่องอาการป่วยของนายทักษิณ และ รพ.ตำรวจ ที่เหมือนห้องรับแขก และตอนนี้หลายคนคงสงสัยในเรื่องของเวชชระเบียนที่ยากลำบากในการจะตอบ เพราะมันไม่มีความตรงไปตรงมา และตอนแรกที่นายทักษิณอ้างว่ามีการป่วยวิกฤตนั้น แต่ตอนนี้ กลับกลายมาเป็นผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้ง

นายจตุพร กล่าวว่า กรณีนายทักษิณ ได้มีการปราศรัยในฐานะผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายกอบจ.) ในนามพรรคเพื่อไทย โดยตอนหนึ่งได้ลั่นวาจาว่า “โกงพ่อมึงสิ ” ซึ่งตนมองว่านายทักษิณลืมไปว่าเคยมีการยื่นถวายฎีกากับพระเจ้าแผ่นดินเลยถูกบันทึกไว้ในพระบรมราชโองการ ซึ่งนายทักษิณเคยมีการยอมรับว่าตนกระทำความผิดและมีการทุจริตคอรัปชั่นจริง ซึ่งได้พูดคำนี้กับพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้พูดกับประชาชน

นายจตุพร ยังกล่าวว่า ปัจจุบันคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังคงทำหน้าที่เหมือนเดิม หากองค์กรทำตามหน้าที่ ประชาชนคงไม่ต้องเดือดร้อนมาลงถนน แต่เมื่อไม่มีการทำหน้าที่ของหน่วยงานจริงๆ จึงเป็นหน้าที่ของพวกประชาชนคนไทย ที่ต้องลุกขึ้นมาจัดการในเรื่องนี้ ทั้งนี้หากนายทักษิณป่วยปลอมจริง น.ส.แพทองธาร ก็จะเข้าข่ายการกระทำความผิดด้วย เพราะกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และทางตำรวจก็กำกับดูแลในเรื่องของ รพ.ตำรวจ ตนจึงมองอีกว่า

“ถ้าคิดอยากจะหนีเหมือนพ่อ เหมือนอา ก็ทำกันต่อไป แต่ถ้าอยากจะอยู่แผ่นดินไทย ก็อย่าได้ทำเหมือนสิ่งที่เคยทำมา” นายจตุพร กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า บรรยากาศบริเวณทำเนียบรัฐบาล ภายนอกอาคารศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและนายสิบตำรวจ สายปราบปราม กองร้อยน้ำหวานหญิง มาดูแลความปลอดภัย และภายหลังจากตัวแทนกลุ่มผู้ชุมนุมได้กล่าว ปราศรัยเสร็จ กลุ่มผู้ชุมนุมทั้งหมดได้เคลื่อนตัวไปยังบริเวณทำเนียบรัฐบาล ประตู 3 เพื่อทำการยื่นหนังสือพร้อมอ่านรายชื่อแถลงการณ์ ถึง น.ส.แพทองธาร ผ่าน นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายการเมือง รับยื่นหนังสือ หลังจากนั้นกลุ่มแยกย้ายเดินทางกลับ .314.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.พล.7 ของเขมร โดนกระสุนปืนใหญ่ยิงดับ บนช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ

26 ก.ค. – พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ จากการปะทะแย่งชิงพื้นที่ระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ตลอดวันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปะทะระหว่างทหารไทย กับทหารกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ และช่องตาเฒ่า ตั้งแต่เช้ามืดวันนี้ ทหารไทยสามารถปกป้องพื้นที่ภูมะเขือ และกดดันทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ได้สำเร็จ ในขณะที่ทหารกัมพูชา พยายามกลับเข้ามาโจมตีกลับ เพื่อยึดภูมะเขือ ส่งผลให้มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตหลายนาย หนึ่งในนั้นคือ พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ. – สำนักข่าวไทย

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

กริพเพน

ทอ. ส่ง F16 – กริพเพน ปฏิบัติการรอบ 2 ทิ้งบอมบ์พื้นที่ทางทหารเขมร

26 ก.ค. – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และกริพเพน 2 ลำ ออกปฏิบัติการรอบสอง โจมตียุทธบริเวณทำลายพื้นที่ทหารกัมพูชา บริเวณปราสาทตาควาย อ.พนมดง จ.สุรินทร์ ภารกิจลุล่วง และกับฐานปฏิบัติโดยปลอดภัย สำหรับพื้นที่บริเวนนี้ ทหารไทยกับทหารกัมพูชา ปะทะกันดุเดือด โดยทหารไทยพยายามทำลายพื้นที่กัมพูชาวางกำลังไว้หลายระลอก ในขณะที่กัมพูชาโต้กลับและระดมกำลังทหารมาเพิ่มเติม ส่งผลให้พื้นที่บริเวนนี้มีการปะทะดุเดือดตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ถึงวันนี้. – สำนักข่าวไทย

เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ”

26 ก.ค.- เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ” ทหารไทยยึดอาวุธปืน-โดรน 11 รายการ พร้อมมือถือ 7 เครื่อง ใช้ถ่ายคลิปยั่วยุทหารไทย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า สำหรับปฏิบัติการ ของเจ้าที่ทหารกองทัพภาคที่ 2 บนภูมะเขือที่สามารถยึดกลับคืนมาได้ ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 10 นาย พร้อมทั้งตรวจพบและสามารถยึดอาวุธ ยุทโธปกรณ์ จำนวน 11 รายการ ประกอบด้วย นอกจากนี้ยังพบโทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง ที่ทางทหารกัมพูชาชอบถ่ายในเวลาทำคลิปเมื่อเจอกับทหารไทยบริเวณแนวชายแดน -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทบ. เผยเลื่อนคุย ‘ทหารไทย-กัมพูชา’ ไม่มีกำหนด

29 ก.ค.- โฆษกทบ. เผยเลื่อนคุย ‘ทหารไทย-กัมพูชา’ ไม่มีกำหนด ยังนัดหมายพบปะกันไม่ได้ แต่พยายามอยู่ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า พื้นที่กองทัพภาคที่ 2 โดยฝ่ายไทย พล.ท.อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาค1 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 และฝ่ายกัมพูชา พล.อ.โปว เฮง ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 4 และ พล.อ.แอก ซอมโอน ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 5 ทั้ง 2 ฝ่ายยังนัดหมายพบปะไม่ได้ เลื่อนไป ยังไม่มีระบุเวลา (เดิมเวลา 10.00 น.) แต่ยังพยายามอยู่ -สำนักข่าวไทย

“แพทองธาร​” ไม่แปลกใจ กัมพูชาไม่เป็นสุภาพบุรุษ

ทำเนียบ 29 ก.ค.- “แพทองธาร​” ไม่แปลกใจกับความไม่เป็นสุภาพบุรุษของ “กัมพูชา” หลังละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ชี้ต้องฟ้อง ปท. ที่เข้ามาเป็นพยานด้วย บอก​ จะถาม “ภูมิธรรม” ให้ ต้องออกแถลงการณ์โต้หรือไม่​ นางสาวแพทองธาร​ ชินวัตร​ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม​ กล่าวถึงกรณีกัมพูชาละเมิดข้อตกลง​หยุดยิง ว่า​ เมื่อสักครู่​ ได้อัปเดตกับทางทีมงาน​ มีการพูดคุยกันว่า​ ถ้าเป็นแบบนี้​ ก็ต้องมีการแจ้งให้ประเทศที่เข้ามาเป็นพยานได้ทราบด้วย​ ว่า​ เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น​ แต่ไม่แปลกใจกับความไม่เป็นสุภาพบุรุษอยู่แล้ว​ เมื่อถามว่ารัฐบาลจะต้องมีการออกแถลงการณ์อีกครั้งหรือไม่​ หลังจากกัมพูชาไม่หยุดยิง นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า เดี๋ยวอันนั้นจะสอบถามนายภูมิธรรม​ เวช​ย​ชัย​ รอง​นายก​รัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​มหาดไทย​ ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี​.-315 -สำนักข่าวไทย

กองทัพไทยย้ำ! ใช้สิทธิป้องกันตนเองตามกฎหมายสากล

29 ก.ค.- กองทัพไทยย้ำ! ใช้สิทธิป้องกันตนเองตามกฎหมายสากล เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติและประชาชน หลังกัมพูชาจงใจละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ทำลายความเชื่อมั่นในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน ตามที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาได้ตกลงร่วมกันในการยุติการสู้รบทางทหารบริเวณแนวชายแดน โดยมีผลตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เพื่อเปิดทางสู่สันติภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้านนั้น วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 พลตรี วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ระบุกองทัพไทย ได้รับการยืนยันว่า ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด หยุดยิงทุกพื้นที่ทันทีที่ถึงกำหนดเวลา โดยยึดมั่นในคำมั่นสัญญาที่รัฐบาลทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันให้ไว้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาหลังจากกำหนดหยุดยิง ฝ่ายกัมพูชายังคงใช้อาวุธยิงเข้ามาในเขตแดนของประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในหลายจุด ถือเป็นการกระทำที่ จงใจละเมิดข้อตกลง และบ่อนทำลายความเชื่อมั่น ที่ควรมีต่อกันในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน กองทัพไทย ขอประณามพฤติกรรมดังกล่าวของฝ่ายกัมพูชา และขอยืนยันว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องใช้มาตรการโต้กลับ ภายใต้สิทธิในการป้องกันตนเองตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ไทยมิได้ใช้กำลังเพื่อรุกราน แต่เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ และความปลอดภัยของประชาชน “เมื่อเราหยุด แต่เขาไม่หยุด…โลกต้องได้รับรู้ว่า กัมพูชาคือผู้ละเมิดข้อตกลงอย่างต่อเนื่อง และเป็นฝ่ายที่ไม่เคารพกติกาสากล ไม่ยึดถือข้อตกลงระหว่างประเทศใด ๆ ที่ได้ประกาศไว้ในเวทีระดับโลก และเป็นภัยต่อความมั่นคงของภูมิภาคและของโลก” การยอมรับพฤติกรรมเช่นนี้ เท่ากับเปิดช่องให้ความอยุติธรรมกลายเป็นบรรทัดฐานในระบบระหว่างประเทศ […]

ทบ. ประณาม “กัมพูชา” ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง

29 ก.ค.- ทบ. ประณาม “กัมพูชา”ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ขณะที่ไทยยึดมั่นพันธกรณีฯ อย่างเคร่งครัด แต่จำเป็นต้องปกป้องตัวเองตอบโต้อย่างเหมาะสม ขยับเวลาถกผู้นำหน่วยทหารในพื้นที่เป็น 10 โมงเช้า วันที่ 29 กค.68 เวลา 7.30 น. พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชาว่าตามที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในการยุติการสู้รบทางทหารบริเวณแนวชายแดน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดบรรยากาศแห่งความสงบ ลดความตึงเครียด และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้านนั้น กองทัพบกขอเรียนว่า ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างเคร่งครัด โดยได้ทำการหยุดยิง บริเวณพื้นที่แนวชายแดน ไทย-กัมพูชา ทันทีที่ถึงกำหนดเวลา ด้วยความตั้งใจจริง และยึดมั่นต่อพันธกรณีที่ได้ตกลงร่วมกันของรัฐบาลทั้งสองประเทศ แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งเมื่อถึง กำหนดเวลาดังกล่าว ฝ่ายไทยยังคงตรวจพบว่าฝ่ายกัมพูชาได้มีการใช้อาวุธโจมตีเข้ามาในเขตแดนของประเทศไทยอยู่หลายจุด ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างจงใจ เจตนาทำลายระบบความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน กองทัพบกจึงขอประณามต่อการกระทำดังกล่าว ฝ่ายไทยจำเป็นจะต้องใช้มาตราการโต้กลับอย่างเหมาะสม ภายใต้สิทธิอันชอบธรรมในการป้องกันตนเอง ยืนยันฝ่ายไทยไม่ได้ใช้กำลังทหารเพื่อรุกราน แต่เพื่อป้องกันการรุกล้ำและรักษาอธิปไตยของชาติ ภายใต้กฎกติกาสากล พลตรีวินธัย ยังระบุว่า เบื้องต้น การพบปะผู้นำหน่วยทหารในพื้นที่ มีการขยับเวลา […]