กรุงเทพฯ 18 ก.ย.- คณะทำงานอัยการพิจารณาคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา มีความเห็นสั่งฟ้องข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และเสพโคเคน หลังพบพยานหลักฐานใหม่ที่น่าเชื่อถือ เตรียมส่งให้ตำรวจนำตัวมาสั่งฟ้องคดี หากพบอยู่ต่างประเทศต้องขอออกหมายจับจากตำรวจสากล
นายอิทธิพร แก้วทิพย์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานการพิจารณากรณีการสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา เปิดเผยถึงการพิจารณาสำนวนคดีนี้ หลังจากได้รับผลการสอบสวนเพิ่มเติมจากพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ หลังจากมีการสอบสวนพยานจนพบหลักฐานใหม่เรื่องความเร็วในการขับรถ และการเสพโคเคน
หลังจากการพิจารณาสำนวนการสอบสวนพยานคือนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่คำนวณความเร็วของนายวรยุทธ ขณะขับรถชนดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ เสียชีวิต พบความเร็วระหว่าง 110-145 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ขณะที่นายสธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พยานอีกคนหนึ่งที่ตรวจสอบความเร็วรถยนต์ของนายวรยุทธ ตั้งแต่เกิดเหตุ และได้ยืนยันความเร็วอยู่ระหว่าง 160-190 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ส่วนกรณีพบสารเสพติดอยู่ในร่างกายของนายวรยุทธ ก็พบสารแปลกปลอมในร่างกาย 2 ชนิด ที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจสอบแล้วสรุปได้ว่าเป็นสารที่เกิดจากการเสพโคเคน
คณะทำงานจึงสรุปมีความเห็นสั่งฟ้องทั้ง 2 ข้อหา กับนายวรยุทธใหม่ เนื่องจากเป็นพยานหลักฐานใหม่และเป็นพยานสำคัญแก่คดี ซึ่งน่าจะทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหา ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุเฉี่ยวชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย ส่วนข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 (โคเคน) พยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนเดิม และได้จากการสอบสวนเพิ่มเติม จึงเห็นควรสั่งฟ้อง
โดยหลังจากนี้จะแจ้งไปยังพนักงานสอบสวนให้เร่งติดตามตัวนายวรยุทธ มาส่งฟ้องเพื่อดำเนินคดีโดยเร็ว ให้ทันอายุความในข้อหาขับรถโดยประมาทฯ จะหมดอายุความในวันที่ 3 กันยายน 2570 และข้อหาเสพโคเคนฯ หมดอายุความ วันที่ 3 กันยายน 2565
อย่างไรก็ตาม สำหรับความเห็นของพันตำรวจเอกธนสิทธิ์ แตงจั่น ที่ได้สรุปความเร็วในขณะขับรถไว้ในสำนวนก่อนหน้านี้ไม่ตรงกัน ในครั้งนี้ไม่ได้นำมาพิจารณาด้วย เนื่องจากเห็นว่าความเห็นของพันตำรวจเอกธนสิทธิ์ ไม่น่าเชื่อถือ กลับไปกลับมา จึงพิจารณาความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งสองคนที่เห็นตรงกันว่าขับรถความเร็วเกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ขณะที่นายชัชชม อรรฆภิญญ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานต่างประเทศ เปิดเผยว่า การสั่งฟ้องตัวผู้ต้องหาคดีในประเทศไทยจะต้องมีตัวผู้ต้องหามาสั่งฟ้องด้วย ซึ่งนายวรยุทธ มีหลักฐานเชื่อว่าอยู่ในต่างประเทศ และหลังจากนี้เป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหา และหากพบข้อมูลที่อยู่ชัดเจนว่าหลบหนีอยู่ในประเทศใด ก็จะต้องออกหมายจับของตำรวจสากลต่อไป แต่จำเป็นต้องพิสูจน์ทราบที่อยู่ให้ได้ก่อน
ขณะที่นายชาญชัย ชลานนท์นิวัฒน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา เปิดเผยว่า พยานหลักฐานใหม่ในคดีนี้เป็นการสอบข้อเท็จจริง และพยานความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อถือได้ ส่วนกรณีที่ใบอนุญาตของสภาวิศวกรของนายสายประสิทธิ์ เกิดนิยม ผู้ที่คำนวณความเร็วของรถนายวรยุทธ เหลือประมาณ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น ได้สอบนายกสภาวิศวกรแล้ว ยอมรับว่าใบอนุญาตของนายสายประสิทธิ์ ขาดอายุความจริง แต่ไม่ขอให้ความเห็นการคำนวณความเร็ว เนื่องจากไม่เห็นรายงานผลการตรวจสอบ
สำหรับความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีของนายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ในขณะนั้นถือว่าเป็นคำสั่งคดีที่ชอบแล้ว เนื่องจากพยานหลักฐานในขณะนั้นมีเพียงเท่านั้น แต่ภายหลังจากการตรวจสอบสำนวนอีกครั้ง จนนำไปสู่การค้นพบพยานหลักฐานใหม่จึงต้องยึดคำสั่งฟ้องคดีของคณะทำงานชุดใหม่ที่แต่งตั้งขึ้นมาจากอัยการสูงสุด หากจำเลยในคดีจะนำมาเป็นข้อต่อสู้หรือย้อนให้ทบทวนคำสั่งไม่ฟ้องคดีนั้นไม่ได้ .-สำนักข่าวไทย