กรุงเทพฯ 15 ม.ค.- ก.ล.ต. เผยผลดำเนินงานปี 67 ทำ 73 โครงการ ดำเนินคดีอาญา 15 คดี แพ่ง 10 คดี นำส่งคลัง 696 ล้านบาท เดินหน้าขับเคลื่อนตลาดทุน หนุนศักยภาพผู้ลงทุน
นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ และโฆษกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยผลการดำเนินงานที่สำคัญของ ก.ล.ต. ในปี 2567 ว่า ในปีก่อน ก.ล.ต ได้มีโครงการและมาตรการสำคัญที่ดำเนินการแล้ว รวม 73 โครงการ และเดินหน้าต่อเนื่อง 12 โครงการ ใน 4 ด้าน แบ่งเป็น
ด้านที่ 1 ทำให้ตลาดทุนมีความน่าเชื่อถือ (Trust and Confidence) แบ่งเป็น
1.1จัดทำโครงการผู้ออกหลักทรัพย์เข้มแข็ง
โดย ก.ล.ต. ส่งเสริมบทบาทความรับผิดชอบให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด (Line of defense) พร้อมกับการยกระดับการกำกับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพ (Gatekeeper) และส่งเสริม Investor empowerment เพื่อให้ผู้ลงทุนตระหนักถึงสิทธิ หน้าที่ และสามารถปกป้องสิทธิของตนเองได้ รวมทั้งเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเกี่ยวกับภัยหลอกลวงลงทุน
1.2ยกระดับคุณภาพตราสารหนี้
ซึ่ง ก.ล.ต. ได้เน้นไปที่ การเปิดเผยข้อมูล เพื่อยกระดับหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ออกและเสนอขายตราสารหนี้ให้เข้มงวดมากขึ้นและปรับปรุงการเปิดเผยข้อมูลสำคัญเพิ่มขึ้น รวมไปถึงหาแนวทางการจัดการตราสารหนี้เสี่ยง (Playbook) ด้วยการกำหนดลักษณะของผู้ออกหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายต้องติดตาม พร้อมกับยกระดับผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุน (Gatekeeper) ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ โดยปรับปรุงแนวปฏิบัติและร่วมกับสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) จัดทำตัวอย่างสัญญาแต่งตั้งผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และ Credit Rating Agency
1.3ออกมาตรการดูแล Short Selling (SS) และ Program Trading (PT)
โดย ก.ล.ต. ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สร้างความเป็นธรรมในธุรกรรม SS/PT เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเสริมสร้างตลาดทุนโปร่งใส ซึ่งมีแนวทาง เน้นไปที่ 2 มาตรการ ที่เห็นว่าเหมาะสม ได้แก่ มาตรการกำกับดูแลธุรกรรม Short Selling และ มาตรการกำกับดูแล Program Trading
1.4การใช้เทคโนโลยีในการกำกับดูแล (SupTech) โดยเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีในการกำกับดูแล เพื่อยกระดับการกำกับดูแล เพิ่มความถูกต้อง แม่นยำ และเท่าทันต่อความเสี่ยงและร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ พัฒนาระบบ Health Check เพื่อตรวจจับสัญญาณความเสี่ยงเรื่องทุจริต/การตกแต่งงบการเงินของบริษัทจดทะเบียน ที่มีการเปิดใช้เมื่อเดือน มี.ค. 2567
1.5เพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย
โดยในปี 2567 ก.ล.ต. ได้ดำเนินการกล่าวโทษ 15 คดี เพิ่มขึ้นจากในปี 2566 ที่กล่าวโทษ 8 คดี และดำเนินการมาตรการลงโทษทางแพ่ง 10 คดี โดยค่าปรับทางแพ่งและชดใช้เงินเท่าผลประโยชน์ฯ ที่นำส่งกระทรวงการคลัง 696 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากในปี 2566 ที่ดำเนินการไป 7 คดี ค่าปรับทางแพ่งและชดใช้เงินเท่าผลประโยชน์ฯ ที่นำส่งกระทรวงการคลัง 103 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้น 15%
ด้านที่ 2 ทำให้ตลาดทุนเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสู่เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Technology) แบ่งเป็นการทำ
2.1โครงสร้างพื้นฐาน ดิจิทัล (Digital Infrastructure : DIF) ในส่วน web portal เพื่ออำนวยความสะดวกในการยื่น filing ของตราสารหนี้
2.2ผลักดันการแก้กฎหมายเพื่อรองรับการแปลงสินทรัพย์ในรูปแบบดิจิทัล (Tokenized securities)
2.3ปรับแบบฟอร์มมาตรฐานในการเปิดบัญชีลงทุน (single form) ให้รองรับการเคลื่อนย้ายหรือส่งต่อข้อมูล (Data portability)
2.4ส่งเสริมการระดมทุนผ่านโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment token) ที่หลากหลาย เพื่อเป็นช่องทางการเข้าถึงแหล่งทุนของผู้ประกอบการและสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัล และยกระดับการกำกับผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น
ด้านที่ 3 ทำให้ตลาดทุนเป็นกลไกสำคัญสู่ความยั่งยืน (Sustainable Capital Markey) โดยในด้านนี้ ก.ล.ต. ได้เน้นไปที่การทำ
3.1จัดทำศูนย์รวมข้อมูลตราสารหนี้และกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (ESG Product platform) เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์ทางการเงินในกลุ่มความยั่งยืนได้อย่างครบวงจร โดยมีข้อมูลทั้งภาษาไทยและอังกฤษ
3.2สร้างความตระหนักรู้และเตรียมความพร้อมให้แก่บริษัทในการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนในแบบ 56-1 One Report ให้สอดรับกับมาตรฐานสากล ส่งเสริมการดำเนินธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชน (HRDD) และขับเคลื่อน (SDG driver) เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
3.3ส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจในการผนวกปัจจัยด้าน ESG ในกระบวนการวิเคราะห์หลักทรัพย์ การให้คำแนะนำการลงทุนและการบริหารจัดการลงทุน เพื่อนำไปปฏิบัติจริง (ESG in practice)
และด้านที่ 4 ผลักดันผู้ลงทุนให้มีศักยภาพในการสร้างสุขภาพทางการเงินที่ดี (Financial well-being/Long-term investment) ด้วยการ
4.1ออกประกาศรองรับเงื่อนไขใหม่ของกองทุน Thai ESG โดยขยายขอบเขตการลงทุนและส่งเสริมบทบาท บลจ. ในการใช้ fiduciary duty เพื่อการลงทุนอย่างรับผิดชอบ
4.2ปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกองทุนรวม Exchange Traded Fund (ETF) ให้เทียบเคียงกับสากล เพื่อให้มีความหลากหลายและรองรับความต้องการของผู้ลงทุน
4.3ปรับปรุง พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลกองทุนและเพิ่มความยืดหยุ่นในการลงทุน
4.4ส่งเสริมการขยายฐานนายจ้างและสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อรองรับการเกษียณและการเตรียมการรองรับการออมภาคบังคับ
4.5เสริมสร้างความรู้ให้ผู้ลงทุนในช่วงวัยต่าง ๆ ลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับตนเอง เข้าใจความเสี่ยง ผลตอบแทน กระจายการลงทุน รู้จักสิทธิ และดูแลตัวเองได้ ไม่ถูกหลอกลงทุน.-516.-สำนักข่าวไทย