กรุงเทพฯ 3 ก.ย.- ปตท.ผนึก เครือ โรงพยาบาลพญาไท-เปาโล ขับเคลื่อนพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมทางการแพทย์ ผลักดันการผลิต “วัสดุปิดแผลไบโอเซลลูโลส”เชิงพาณิชย์ “ ด้านผลการจัดอันดับดัชนีนวัตกรรมโลก “ไทยนั่งแท่นอันดับ 1 โลกด้านการลงทุนใน R&D ของเอกชน – การส่งออกสินค้าสร้างสรรค์ ”พร้อมคว้าอันดับ 44 จาก 131 ประเทศทั่วโลก
นายวิทวัส สวัสดิ์-ชูโต ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยีและวิศวกรรม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ ปตท. ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมทางการแพทย์ กับ บริษัท ประสิทธิ์พัฒนา จำกัด (มหาชน) (เครือโรงพยาบาลพญาไท – เครือโรงพยาบาลเปาโล) โดยมุ่งพัฒนาความร่วมมือด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ ผ่านโครงการนำร่องที่จะผลักดันสู่เชิงพาณิชย์ “วัสดุปิดแผลไบโอเซลลูโลส” (Bio-Cellulose for Wound Dressing) และร่วมแสวงหาโอกาสในการพัฒนางานวิจัยวางรากฐานและสร้างต้นแบบนวัตกรรมเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ไทย ให้มีศักยภาพการแข่งขันเทียบเท่าระดับสากล สอดรับกับนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ช่วยลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ด้านสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์กรมหาชน) หรือ NIA เผยผลการจัดอันดับดัชนีนวัตกรรมโลก Global Innovation Index: GII) ประจำปี 2563 ภายใต้ธีมใครจะจ่ายเงินทำนวัตกรรม : Who Will Finance Innovation? ซึ่งจัดโดยองค์การทรัพย์สินทางปัญญาแห่งโลก (WIPO) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยคอร์เนล และ The Business School for the World (INSEAD) เพื่อวัดระดับความสามารถทางด้านนวัตกรรมเสมือนมาตรวัดเปรียบเทียบเชิงเวลาและการเปรียบเทียบเชิงแข่งขันทางด้านนวัตกรรมของแต่ละประเทศกว่า 131 ประเทศทั่วโลก โดยในปีนี้ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 44 ในขณะที่ปัจจัยค่าใช้จ่ายมวลรวมภายในประเทศสำหรับการวิจัยและพัฒนาซึ่งลงทุนโดยองค์กรธุรกิจต่างๆ และปัจจัยการส่งออกสินค้าสร้างสรรค์ ถูกจัดเป็นอันดับ 1 ของโลก
นายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์กรมหาชน) กล่าวว่า ผลการจัดอันดับความสามารถทางด้านนวัตกรรมในปีนี้ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 44 จากทั้งหมด 131 ประเทศ โดยในปีนี้ ปัจจัยเข้าทางนวัตกรรม (Innovation input sub-index) อยู่อันดับที่ 48 และปัจจัยย่อยผลผลิตทางนวัตกรรม (Innovation output sub-index) อยู่อันดับที่ 44 ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศกลุ่มรายได้ปานกลางระดับบน (upper middle-income economies) ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 4 จากจำนวน 37 ประเทศ รองจากจีน มาเลเซีย และบัลแกเรีย ประเทศไทยยังมีอันดับที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยในทุกปัจจัย ยกเว้นปัจจัยด้านทุนมนุษย์และการวิจัย แต่หากเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออกและโอเชียเนีย ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 10 จากจำนวน 17 ประเทศ
สำหรับอันดับปัจจัยชี้วัดความสามารถด้านนวัตกรรมแบ่งออกเป็น 7 มิติ ได้แก่ 1) สถาบัน 2) ทุนมนุษย์และการวิจัย 3) โครงสร้างพื้นฐาน 4) ระบบตลาด และ 5) ระบบธุรกิจ 6) ผลผลิตจากองค์ความรู้และเทคโนโลยี และ 7) ผลผลิตจากความคิดสร้างสรรค์ โดยของประเทศไทยปรับตัวดีขึ้นถึง 4 มิติ ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน (อันดับ 67 เดิม 77) ระบบตลาด (อันดับ 22 เดิม 32) และระบบธุรกิจ (อันดับ 36 เดิม 60) และผลผลิตจากความคิดสร้างสรรค์ (อันดับ 52 เดิม 54) โดยในรายดัชนีชี้วัดย่อย ประเทศไทยทำอันดับได้ดี ในด้านค่าใช้จ่ายมวลรวมภายในประเทศสำหรับการวิจัยและพัฒนาซึ่งลงทุนโดยองค์กรธุรกิจต่างๆ (อันดับ 1) ซึ่งสะท้อนให้เห็นการลงทุนของภาคเอกชนในประเทศไทยมุ่งเน้นเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจด้วยการพัฒนานวัตกรรมมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีมิติด้านผลผลิตทางนวัตกรรมทั้งในส่วนของผลผลิตจากองค์ความรู้และเทคโลยี และผลผลิตจากความคิดสร้างสรรค์ถูกจัดอันดับดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะดัชนีชี้วัดย่อย การส่งออกสินค้าสร้างสรรค์ ถูกจัดเป็นอันดับ 1 ของโลกที่มีการสินส่งสินค้าประเภทนี้มากที่สุด แต่อุปสรรคสำคัญในการสร้างขีดความสามารถนวัตกรรมที่ยังเป็นข้อด้อยของประเทศ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างปัจจัยเข้าทางนวัตกรรม เช่น สภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับกฎระเบียบและข้อบังคับต่างๆ อัตราส่วนของครูและนักเรียน และการบริการนำเข้าเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การบริการส่งออกเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นต้น-สำนักข่าวไทย